จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1923 จอมพระราชากับกับจอมเทวดาคนใดกันแน่เหนือกว่ากัน
จักรพรรดิบรรพกาล Emperor’s Domination – บทที่ 1923
“ท่านคุณลุงหลิน บรรพบุรุษที่บ้านต่างชื่นชอบท่านว่าเป็นจอมเทวดาที่หนักแน่นมากมาย จนถึงสามารถแซงล้ำหน้าสี่ดวงตราเครื่องหมายได้ ท่านก็เล่าให้ฟังหน่อยนะ” เมื่อบุตรีพระราชาฉีหลินมองเห็นซึหุนหลินกระทำตัวค่อมต่ำขนาดนี้ก็เลยกล่าวอ้อนขึ้นมา
“ตาแก่บ้านเจ้าดูเราเกินความจำเป็นแล้วหละ” ซึหุนหลินยิ้มพูดว่า “คนที่แกร่งกว่าเราบนโลกนี้มีมากมายก่ายกองอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งระดับจอมกษัตริย์เซียนหวัง พวกเขามีชะตาฟ้าอยู่กับตัว ซึ่งสิ่งนี้หาใช่ดวงตราเครื่องหมายของจอมเทวดาอย่างเราสามารถเปรียบเทียบกันได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นดวงตราเครื่องหมายที่ผสานเข้าด้วยกัน ก็เทียบไม่ได้กับการคุ้มครองป้องกันจากชะตาฟ้าของจอมพระราชาเซียนหวังได้”
“อิ อิ เราจะไม่เอ่ยถึงจอมพระราชาเซียนหวังผู้อื่นกล่าวถึงแม้กระนั้นพระราชาสรวงสวรรค์ขวางเส้าดีไหม?” อู่ชีไม่ยอมแพ้ยิ้มแต้กล่าวขึ้นมา
ไม่เพียงแค่อู่ชีแค่นั้นที่สอดรู้สอดเห็น พวกของบุตรีพระราชาฉีหลินก็ต้องการทราบด้วยเหมือนกัน เป็นที่โต้แย้งกันมากไม่น้อยเลยทีเดียวว่าระหว่างจอมกษัตริย์กับจอมเทวดาคนไหนกันแน่เหนือกว่ากัน แต่ พวกเขาต้องการจะฟังจากปากของจอมเทวดาเองมากยิ่งกว่า คำตอบแบบนี้มีความน่านับถือมากยิ่งกว่า
“หากเอ่ยถึงชะตาฟ้าเพียงหนึ่งสาย ตาชราน้อยอย่างเรายังเพียงพอมีความเชื่อมั่นและมั่นใจอยู่หลายส่วน จะยังไงเสียจอมกษัตริย์เซียนหวัง ก็ควรมีชะตาฟ้าสามสายขึ้นไปก็เลยสามารถชี้แจงลึกซึ้งแปลกประหลาดของลัคนาจตุลักษณ์ได้ รวมทั้งมีพลังการเข้าถึงตัวตนอันตามที่เป็นจริงในถือครอง” ซึหุนหลินทำท่าตริตรองหน่อยนึง แล้วก็บอกว่า “ข้ามีดวงตราเครื่องหมายสามดวงที่ผสานเข้าด้วยกัน ยังคงมีความแน่ใจสำหรับเพื่อการสู้กับจอมพระราชาเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าเพียงแต่หนี่งสาย แน่ๆนี่เป็นเพียงแค่แนวคิดแค่นั้น แม้กระนั้นกษัตริย์สรวงสวรรค์ขวางเส้าเป็นข้อละเว้น เป็นคนที่เยี่ยมยอดมากมายคนหนึ่ง ยากที่จะประเมินได้…”
“…เหตุเพราะความสามารถพิเศษของเขาสูงเยอะเกินไป จักรพรรดิบรรพกาลยอดเยี่ยมกลยุทธ์วิชาในหล้าเยอะมากเขาเพียงแค่ครุ่นคิดตรึกตรองพักหนึ่งก็สามารถทำลายได้ สามารถจู่โจมใส่ข้อบกพร่องของกลยุทธ์วิชานั้นๆและก็จู่โจมครั้งเดียวจนตายได้ ได้ยินมาว่าจอมเทวดาที่มีดวงยี่ห้อเครื่องหมายหนึ่งถึงสองดวงถูกตายด้วยมือของเขาเยอะมากๆ แม้กระทั้งจอมเทวดาที่มีดวงยี่ห้อเครื่องหมายสามดวงก็มี”
เมื่อซึหุนหลินกล่าวมาถึงนี้แล้วทำท่าพินิจหน่อยนึง ยังคงเผื่อไว้หน่อยเดียว รวมทั้งบอกว่า “ถ้าจำเป็นต้องต่อสู้กันจริงๆเรายังคงมีความมั่นใจและความเชื่อมั่นอยู่หลายส่วน ถึงแม้ว่าจะเอาชนะพระราชาสรวงสวรรค์ขวางเส้ามิได้ อย่างน้อยที่สุดมั่นใจว่าเขาก็อาจทำอะไรเรามิได้”
ในใจของพวกบุตรีพระราชาฉีหลินถือว่ามีความมั่นใจและความเชื่อมั่นแล้ว เมื่อได้ยินคำพูดคำจากซึหุนหลินแล้ว คำบอกเล่าของซึหุนหลินที่ว่านับว่าอ่อนน้อมถ่อมตัวแล้ว
“หากว่าจำเป็นต้องท้าประลองกับจอมพระราชาเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสามสาย ควรมีดวงตราเครื่องหมายกี่ดวงหละ?” อู่ฟ่งวางท่าเองก็สอดรู้สอดเห็นยิ่งนัก
“เรื่องอย่างงี้ไม่มีมาตรฐานระบุ” ซึหุนหลินกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าจะเป็นจอมพระราชาเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสามสายเช่นเดียวกันก็มีการแบ่งเป็นอดทนอ่อนด้อย อาวุธแตกต่าง เชื้อสายแตกต่าง ความจริงที่แตกต่าง ผลก็คือแตกต่างอย่างสิ้นเชิง อย่างเช่น ในมือของเจ้ามีอาวุธกษัตริย์ปราบสรวงสวรรค์ หรือจอมพระราชาเซียนหวังมีตำรารวมทั้งอาวุธสรวงสวรรค์ ผลที่เกิดก็จะต่างกันอย่างสิ้นเชิงแล้ว”
“ถ้าเกิดนับกรณีปัจจุบันของจอมเทวดาท่าสิง ด้วยสายโลหิตเก้ากระถางของเขามันก็แตกต่างแล้ว ทั้งหมดทั้งปวงสามารถคุ้มครองปกป้องให้กับตัวเขา ถึงแม้เราไม่เคยปะมือกับจอมเทวดาท่าสิง แต่ว่าอาศัยมุมมองส่วนตัวของเราแล้ว จอมเทวดาท่าสิงที่มีดวงยี่ห้อเครื่องหมายผสานเข้าด้วยกัน รวมทั้งมีสายโลหิตเก้ากระถาง ย่อมสามารถประมือกับจอมเทวดาที่มีดวงยี่ห้อเครื่องหมายสิบเอ็ดดวงที่ผสานเข้าด้วยกันได้อย่างแน่แท้!”
“ว่ากันด้วยกรณีของกษัตริย์สรวงสวรรค์ขวางเส้าตามใจ ถึงแม้เขาจะมีชะตาฟ้าเพียงแค่หนึ่งสาย แม้กระนั้นเขามีพรสวรรค์ ความสามารถพิเศษของเขาถึงขนาดที่ไม่มีผู้ใดเทียบเคียงเทียมได้แล้ว บวกกับกระบี่สามเล่มที่อยู่ในมือของเขาเป็นอาวุธพระราชาจำพวกมีพลังมาโดยกำเนิด เกรงว่าพลังที่จริงจริงของเขาได้โอกาสในระดับหนึ่งที่จะประมือกับจอมพระราชาเซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสองสายได้มั๊ง…”
meenovel.com/novel/emperors-domination/
“…โดยธรรมดา คนที่สามารถแปลงเป็นจอมพระราชาเซียนหวังล้วนแต่เริ่มที่ชะตาฟ้าสามสาย ถ้ามีชะตาฟ้าเพียงแค่สองสาย เป็นการชี้ว่าชาติตระกูลของเขาแย่มาก อย่างน้อยที่สุดอาจเสียโอกาสตกทอดชะตาฟ้ามาแล้วหนึ่งครั้ง ซึ่งขึ้นกับทรัพยากรที่ครองในมือไม่เท่าจอมกษัตริย์เซียนหวังอื่นๆโดยเหตุนี้ ตัวของพระราชาสรวงสวรรค์ขวางเส้าที่มีการได้เปรียบที่มีมาโดยกำเนิดอย่างเหลือเฝือทุกด้าน ย่อมมิได้ด้อยกว่าจอมกษัตริย์เซียนหวังที่มีชะตาฟ้าเพียงแค่สองสายและไม่ได้มีความเป็นต่อทางด้านทรัพยากรที่มีมาโดยกำเนิดในระดับหนึ่ง”
ซึหุนหลินมีความทรหดอดทนสูงยิ่งสำหรับเพื่อการพินิจพิจารณาจำแนกให้รอบคอบให้กับเยาวชนทั้งยังสามคน
“กษัตริย์เซิ่นตี้หละ กษัตริย์เซิ่นตี้มีชะตาฟ้าสามสายในถือครอง กำลังความสามรถยนต์ของเขาเป็นอย่างใด?” บุตรสาวกษัตริย์ฉีหลินรำลึกถึงพระราชาเซิ่นตี้ผู้เป็นผู้แทนที่เปี่ยมด้วยสีสันอีกคน ก็เลยเอ่ยถามขึ้นมาด้วยความข้องใจ
“ไม่รู้จัก” ซึหุนหลินส่าวหน้าเบาๆรวมทั้งพูดว่า “เราไม่เคยพบเจอกษัตริย์เซิ่นตี้มาก่อน พระราชาเซิ่นตี้นับเป็นตำนาน ไม่เพียงแค่ตัวเขาซึ่งสามารถแปลงเป็นแบบอย่างผู้บริจาคแรงใจกับชนรุ่นหลาน หังเขาเล่ามาว่า สิ่งที่สุดยอดที่สุดของกษัตริย์เซิ่นตี้ก็คือจิตที่การบำเพ็ญพยายามดวงหนึ่งของเขา การที่ผู้ยังคงอยู่ในฐานะตัวอย่างเช่นพระราชาเซิ่นตี้สามารถได้รับการเคารพเลื่อมใสของมนุษย์ย่อมจะต้องมีเหตุผลของเขา ไม่ค่อยเคยทราบว่ากษัตริย์เซิ่นตี้ลงมือกับใครกันแน่ พูดได้ว่าคงจะมีเพียงแต่ไม่กี่คนเพียงแค่นั้นที่เคยได้เห็นพระราชาเซิ่นตี้ลงมือมัง กำลังความรู้ความเข้าใจของเขาคืออะไรนั้น ยากที่จะวินิจฉัยพิจารณา…”
“แต่ มุมมองส่วนตัวของผ่านองว่า หากแม้พระราชาเซิ่นตี้จะมีปัญญาหยาบคายแล้วก็ด้อยคุณภาพ แต่ว่าเขามีการได้เปรียบที่ทำขึ้นตอนหลังซึ่งจอมกษัตริย์เซียนหวังองค์อื่นๆไม่มี เนื่องมาจากเขาได้ทำเจียระไนมาจำนวนนับไม่ถ้วน เขามีสิ่งที่ได้กลายเป็นผลึกแล้วก็อบรมมาอย่างที่จอมกษัตริย์เซียนหวังอื่นไม่มี ตามความเห็นโดยส่วนตัวของเรา กษัตริย์เซิ่นตี้คงจะเข้มแข็งกว่าจอมกษัตริย์เซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสามสายผู้อื่นส่วนจะอดทนไปถึงระดับไหนนั้น ไม่อาจจะวินิจฉัยได้ เกรงว่าคงจะไม่มีผู้ใดที่รู้คำตอบ ถึงแม้ว่าจะมีจอมพระราชาเซียนหวังที่คิดจะวินิจฉัยวินิจฉัย เกรงว่าคงจะมีจอมพระราชาเซียนหวังไม่กี่คนแค่นั้นที่ยินดีไปท้าดวลกับกษัตริย์เซิ่นตี้ จะยังไงเสียเขาก็คือตำนาน”
เมื่อพวกของลูกหญิงพระราชาฉีหลินได้ฟังคำจากซึหุนหลินแล้ว ต่างทยอยกันก้มศีรษะแล้วก็มีความรู้สึกว่าคำกล่าวนี้มีเหตุมีผล
ภายหลังที่หลี่ชิเย่ไปจากพวกของบุตรสาวพระราชาฉีหลินแล้ว ก้าวผ่านค่อนพื้นที่ไกลแห้งแล้งถึงที่ๆเปลี่ยวแล้วก็ลับตาผู้คนมากมายแห่งหนึ่ง เป็นที่ที่น้อยคนนักที่จะมาถึงได้
มันเป็นเนินดินเล็กๆแห่งหนึ่ง เนินดินที่นี้ต่ำมากมายๆพูดได้ว่าแม้เทียบกับเทือกเขาที่สูงระฟ้าเยอะมากแล้วมันไม่สะดุดตาเอาเสียเลย ไม่มีคุณค่าคู่ควรจะเอ๋ยถึง
ถ้าหากดูให้ดีล่ะก็ จะต้องใความสนใจในเนินดินที่นี้แน่ๆ เหตุผลนั้นง่ายสุดๆ บนผืนแผ่นดินของไกลแห้งแล้ง ดินที่ปรากฏให้มองเห็นล้วนแต่ถูกย้อมกระทั่งแปลงเป็นสีม่วงดำ ซึ่งเกิดขึ้นได้เพราะมีสาเหตุเนื่องมาจากน้ำเลือดที่ไหลซึมออกกระทั่งเปียกแฉะ
ในช่วงเวลาที่เนินดินที่มองเห็นอยู่ข้างหน้า เป็นเพียงแต่ดินสีดำปกติแค่นั้น ถึงแม้สีของดินทั้งคู่จะมีส่วนใกล้เคียงกันมากมาย แม้กระนั้นถ้าดูให้ถี่ถ้วนจะเจอความต่างของดินทั้งคู่อย่างไม่ต้องสงสัย
การที่ดินของเนินดินที่นี้เป็นสีของดินดำปกติทั่วๆไป ย่อมเป็นการชี้ว่าที่ที่ตรงนี้ไม่เคยถูกน้ำเลือดท่วมมาก่อน!
ปัจจุบันนี้ หลี่ชิเย่ได้ขึ้นไปยืนอยู่ข้างหน้าหินขนาดใหญ่บนเนินดินโน่น หินก้อนใหญ่นี้มีสีเทาขาว สูงเพียงแค่หัวของคน ซึ่งไม่มีอะไรพิศดาร เพราะว่าเป็นหินซึ่งสามารถพบเจอได้โดยปกติ
ขณะนี้ หลี่ชิเย่ยืนอยู่ข้างหน้าหินใหญ่ มือทั้งคู่ได้ทาบอยู่บนหินโน่น เบาๆหลับตาลงเสมอเหมือนนอนไปแล้วอย่างงั้น ภายหลังผ่านไปครู่ใหญ่ บนหินปรากฏเป็นลวดลายเต๋าเล็กๆแต่ละเส้นขึ้นมา และก็ลวดลายเต๋าขนาดเล็กแต่ละเส้นได้กักขังบนข้อมือของหลี่ชิเย่ เหมือนดั่งเป็นงูเล็กๆแทรกตัวหายเข้าไปในข้อมือของหลี่ชิเย่
“แว้งค์…” หินก้อนใหญ่นี้ถึงกับเหมือนดั่งน้ำที่กระเพื่อมเป็นวังวนแบบงั้น เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว ร่างของหลี่ชิเย่ทันทีหายไป
เมื่อหลี่ชิเย่แสดงตัวขึ้นอีกที เขาได้ยืนอยู่บนระเบียงฟุตบาทที่ยาวของพระราชวังโบราณแห่งหนึ่ง หลี่ชิเย่ได้สูดลมหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่งขณะยืนอยู่ที่ระเบียง สูดดมมองกลิ่นรอบๆนี้
“ผู้มีปัญญา ข้ามายอดเยี่ยมเจ้าแล้ว” หลี่ชิเย่เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“ปัง” ในเสี้ยววินาทีนี้เอง ทันทีทันใดปรากฏมือผู้สูงอายุที่โผล่มาจากครั้งใดไม่เคยรู้ทันทีทันใด บีบไปที่คอของหลี่ชิเย่และก็ดันตัวของหลี่ชิเย่ถอยไปแนบติดอยู่กับฝาผนัง
หลี่ชิเย่มีท่วงท่าที่สงบนิ่งมากมายกับความเคลื่อนไหวที่เกิดขึ้นมาทันทีทันใด เขาได้กล่าวเพิกเฉยขึ้นมาว่า “ตาแก่ กระบวนการแบบนี้ของเจ้าไม่ทำให้เราจำต้องตกอกตกใจหลอกนะ หากว่าเป็นบุคคลภายนอก อาจจะไม่มีความจำเป็นต้องละเมิดเข้ามาด้วยความเกรงอกเกรงใจขนาดนี้หรอกนะ”
ภายหลังที่หลี่ชิเย่บอกขาดปาก มือคนชราที่โผล่ออกมาทันทีทันใดก็ได้หายไปทันทีทันใดด้วยเหมือนกัน ไม่รู้จักว่ามันมาจากไหน รวมทั้งหายไปที่แห่งไหน
หลี่ชิเย่หัวเราะ รวมทั้งจัดเสื้อผ้าให้เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้วก้าวเดินไปตามระเบียง แค่เพียงแป็บนึงได้เข้าไปยังพระราชวังใหญ่ เป็นพระราชวังที่มี่ขนาดกว้างใหญ่มากมาย โดยอาศัยเสาแต่ละต้นเป็นตัวค้ำจนถึงเอาไว้ พระราชวังทั้งยังข้างหลังเป็นไปอย่างเรียบง่ายโบราณ ไม่มีการตกแต่งใดๆก็ตามกะทั่งจิตกรรมฝาผนังก็ไม่มี
ทางเหนือของวิหารมิได้มีจัดวางพระราชอาสนะเอาไว้ มีเพียงแค่ประพรมทรงกลมวางอยู่ แล้วก็มีผู้เฒ่าผู้หนึ่งนั่งอยู่บนนั้นเฉยๆไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรก็ตามประหนึ่งว่าเขานั่งอยู่นั่นมาตรงเวลาล้านล้านปีแล้วอย่างงั้น
ผู้เฒ่าผู้นี้ใส่ชุดสีเทาอีกทั้งชุด ชุดที่สวมอยู่มองเก่ามากมาย และก็ถูกยุคสมัยกัดเซาะกระทั่งสีซีดจางออกเป็นสีขาวไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะชุดเทาที่สวมจะถูกระยะเวลาบ่มนิสัยมานานนับล้านล้านปี แม้กระนั้นยังคงดูสะอาดหมดจดยิ่งนัก ไม่มีฝุ่นสามารถเกาะอยู่บนนั้นหากแม้เพียงแต่น้อยนิด
ผู้เฒ่ามีผมยาวปะบ่าสีเทาอีกทั้งหัว มองดูแห้งเหี่ยว เหมือนหมดสิ้นความสดชื่นไป ไม่มีชีวิตอีกแล้ว
รอบๆชายโครงของผู้เฒ่ามีปีกอยู่คู่หนึ่ง แต่ว่าปีกคู่นี้ได้ทรุดโทรมไปแล้ว สีขนออกเป็นขาวซีดไม่มีความมันวับ ปีกคู่นี้ตกแขวนอยู่ข้างหลัง ราวกับไม่มีกำลังที่จะประคองเอาไว้แบบงั้น
ผู้เฒ่าผู้นี้นั่งหลับตาอยู่นั่น ราวกับนอนไปแล้วแบบงั้น จนกระทั่งมองเสมือนตายไปแล้ว ทั้งตายไปนานนับล้านล้านปีแล้วอย่างงั้น
หลี่ชิเย่เปิดเผยรอยยิ้มออกมาให้มองเห็นขณะมองผู้เฒ่าผู้นี้ ถือเอาประพรมทรงกลมออกมานั่งข้างหน้าไม่ห่างจากผู้เฒ่าเท่าไรนัก
“กลิ่นศักดิ์สิทธิ์ตรงนี้ของเจ้าดูเหมือนจะอ่อนไปหน่อยนึงอีกแล้วนะ” ภายหลังที่หลี่ชิเย่นั่งลงเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว มองดูให้ทั่วหนหนึ่งแล้วก็กล่าวถอนใจออกมา
ขณะนี้ ผู้เฒ่าได้ลืมตาทั้งสองข้างขึ้นมา ยามที่ดวงตาทั้งคู่ของเขาลืมขึ้นได้ปรากฎประกายที่กระจัดกระจายออกมา ยามที่ประกายแต่ละสายที่สดชื่นออกมาเหมือนกับให้กำเนิดโลกใหม่แต่ละโลกขึ้นมาแบบนั้น ยามที่เขาลืมตาขึ้นมาเหมือนหนึ่งได้สร้างโลกทั่วทั้งโลกขึ้นมาแบบงั้น
แต่ ประกายแต่ละสายพวกนี้ได้หายไปอย่างเร็ว สามารถแลเห็นดวงตาของเขาได้อย่างแจ่มแจ้ง เป็นดวงตาที่ขุ่นมัวของคนชรา ดุจว่าสายตาได้ขุ่นมัวแลเห็นทุกอย่างบนโลกนี้ได้คลุมเครือ
“เจ้าไม่กลัวว่าเราได้แปรไปแล้วรึ?” ขณะนั้นผู้เฒ่าได้เปิดปากกล่าวออกมา คำกล่าวของเขามองมีลมหายใจแม้กระนั้นไม่มีเรี่ยวแรง เสมือนกำลังอยู่ระหว่างหายใจเฮือกสุดท้ายอย่างงั้น
“แปรไป? ยังจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้อีก?” หลี่ชิเย่หัวเราะรวมทั้งพูดว่า “จิตที่การบำเพ็ญมานะของเจ้าได้ผ่านการเจียระไนมาค่อนช่วงมาแล้ว ในช่วงเวลาที่ทารุณไร้มนุษยธรรมที่สุดเจ้ายังคงยืนหยัดผ่านมาได้ ท่ามกลางช่วงที่แตกละเอียดแบบนี้เจ้ายังจะเปลี่ยนแปลงอะไรได้ นี่ไม่นับเป็นโลกของพวกเจ้าอีกแล้ว”
“พูดมาก็ถูก” ผู้เฒ่างึมงำออกมา เวลานี้เองเขาก็เลยได้พิเคราะห์ตัวของหลี่ชิเย่อปิ้งละเอียด รวมทั้งพูดว่า “ชาตินี้เจ้าไม่เพียงแค่เอาร่างจริงกลับมาได้ ยังมีตำราสรวงสวรรค์หลายเล่มอยู่ในครอบครองนะเนี่ย”
“ทั้งสิ้นก็แค่ของที่มาจากเมืองนอกกาย ช่วยได้เพียงแค่เป็นตัวช่วยเหลือเพียงแค่นั้น จิตที่การบำเพ็ญพยายามดวงหนึ่งพอเพียงทำให้เราลอยละล่องเป็นนิรันดร” หลี่ชิเย่กล่าวพร้อมด้วยยิ้มเรียบ
“โชคร้าย มีปรัชญาเมธีกี่ผู้ที่สามารถเป็นเหมือนดั่งเจ้าไม่ลืมเลือนเจตนาเดิมได้เล่า ยิ่งเวลานานมากออกไป ยิ่งสามารถทำให้ลืมไปว่าตนเองทำเพื่ออะไร ยิ่งจำเค้าหน้าขณะตัวเองยังอยู่ในวัยเด็กมิได้” ผู้เฒ่าถึงกับบอกออกมาเบาๆ
“เจ้าเองก็ไม่ลืมเลือนความมุ่งมั่นแรกโดยตลอดไม่ใช่รึ” หลี่ชิเย่ยิ้มจางแล้วก็บอกว่า “เจ้ายังคงเป็นเจ้าตลอดมา ความตายก็ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนเจ้า เจ้าก็ยังคงเป็นผู้มีปัญญาผู้ที่ต้านคนนั้น!”