จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1925 น้ำศักดิ์สิทธิ์กาญจน์โภคทรัพย์สรวงสวรรค์
จักรพรรดิบรรพกาล Emperor’s Domination – บทที่ 1925
ท่วงท่าของผู้เฒ่าเศร้าใจเมื่อเอ่ยมาถึงที่ตรงนี้ หากว่าเขาจะเป็นคนที่ผ่านอะไรมามาก ยังคงจำต้องรู้สึกเสียใจซึมอย่างมาก เพราะทรัพยากรจำนวนเป็นอย่างมากกลุ่มนี้มาจากการรวบรวมของชีวิตนับล้านล้านชีวิตในแต่ละช่วง โดยที่โลกได้กลายเป็นนรกอเวจีมายุคยุคแล้วช่วงเล่า มันเป็นโลกที่ช่างน่าขนลุกขนพองสยองเกล้ายิ่งนัก
ในที่สุด ผู้เฒ่าได้เงยขึ้นจ้องหลี่ชิเย่ แล้วก็กล่าวอย่างช้าๆว่า “เจ้ามีกำลังพลมากแค่ไหน มีจอมกษัตริย์เซียนหวังในช่วงของเจ้าปริมาณมากแค่ไหนที่ให้การช่วยเหลือเจ้ากับการรบในคราวนี้!”
“ไม่มีผู้ใดสักคน มีเราเพียงผู้เดียวแค่นั้น” หลี่ชิเย่หัวเราะกล่าว
ผู้เฒ่าตกตะลึงนิดเดียว ส่ายหัวเบาๆรวมทั้งบอกว่า “เจ้าดีเยี่ยมที่สุดมากมายก็จริง แม้กระนั้น ที่ตรงนี้ทำไม่ได้ เรารู้เรื่องเขามากยิ่งกว่าเจ้า ถ้าหากลำพังเจ้าเพียงผู้เดียว ถึงแม้ว่าจะรวมเราด้วยอีกคนก็ถูกตายอปิ้งไม่ต้องสงสัย”
“ไม่ ไม่ถูกแล้วหละ ที่ถูกมากกว่า เป็นเจ้า” หลี่ชิเย่ยิ้มพูดว่า “เป็นพระภูมิเป็นกำลังหลักของการศึกในคราวนี้ เราเพียงแค่ช่วยเหลือเพียงแค่นั้น การศึกคราวนี้จะแพ้หรือชนะทุกสิ่งทุกอย่างจะต้องอาศัยเจ้า”
“หัวข้อนี้เกรงว่าเจ้าคงจะจำต้องผิดหวังแล้วหละ ถ้าหากว่าเราสามารถสู้กับผู้มีอิทธิพลได้เพียงลำพัง เกรงว่าอาจจะทำสำเร็จไปนานแล้ว” ผู้เฒ่าสั่นหัวเบาๆรวมทั้งพูดว่า “เราสู้เขามิได้ เกรงว่าเพิ่มเจ้าเข้าไปอีกคนก็มิได้เช่นกัน”
“อย่าลืมสิ เจ้ากับเรารวมกัน ด้วยจิตที่การบำเพ็ญบากบั่นที่ยากจะหาใดเทียมในหล้า เจ้ารู้สึกว่าจะทรงอานุภาพอย่างไร?” หลี่ชิเย่กล่าวด้วยทีท่าที่สงบว่า “จิตที่การบำเพ็ญอุตสาหะทั้งคู่ผสานเข้าด้วยกัน สามารถทำให้พลังของเจ้ามากขึ้นอย่างเร็ว ซึ่งทำให้เจ้าที่เจ้าทางอยู่ในระดับยอดเยี่ยมมากขึ้นไปอีกเท่าตัว! เจ้าลองคิดดูมอง ลักษณะที่อยู่ในระดับยอดเยี่ยมในตอนนั้นของเจ้า มากขึ้นอย่างเร็วเท่าตัว สามารถเอาชนะเขาได้หรือเปล่า!”
คำกล่าวของหลี่ชิเย่ ทำให้ผู้เฒ่าหวั่นไหวครั้งหนึ่ง ถึงกับนิ่งเฉยอยู่พักหนึ่ง เขาไม่บางทีอาจไม่นำเอาคำบอกเล่าลักษณะแบบนี้ของหลี่ชิเย่มาพิเคราะห์
“ให้เราอาศัยจิตที่การบำเพ็ญพยายามมาคุยกัน มันได้เสียเวลาโดยไร้ประโยชน์มาครึ่งค่อนช่วงมาแล้ว! เหมาะแก่เวลาให้จิตที่การบำเพ็ญพยายามมาวินิจฉัยพิจารณาได้แล้ว” หลี่ชิเย่กล่าวขึ้นมาช้าๆ
ผู้เฒ่าที่นิ่งเฉยได้เงยขึ้นมาอีกที แล้วก็พูดว่า “อาศัยจิตที่การบำเพ็ญอุตสาหะวินิจฉัยวินิจฉัยใช่จะมิได้ แม้กระนั้น เราไม่ใช่ตัวเราในตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว เราไม่สามารถที่จะกลับไปเสมือนภาวะที่ยอดเยี่ยมในตอนนั้นได้อีก ด้วยภาวะขณะนี้ของเรา สามารถแสดงพลังต่อสู้ได้ห้าส่วนของในเวลานั้นก็ถือว่าดีเยี่ยมที่สุดมากมายแล้ว”
“เราทราบ โดยเหตุนี้เราก็เลยได้ตระเตรียมของขวัญให้เจ้าเป็นพิเศษ” หลี่ชิเย่ยิ้มซีดๆล้วงของสิ่งหนึ่งจากอกมาวางไว้เบื้องหน้าของผู้เฒ่า กล่าวช้าๆขึ้นมาว่า “ของขวัญชิ้นนี้เป็นสิ่งที่เราตามหามายุคแล้วสมัยเล่า ซ่อนเร้นไว้ซึ่งพลังกายหัวใจของมนุษย์เยอะแยะ”
สิ่งที่วางอยู่เบื้องหน้าผู้เฒ่าเป็นขวดทรัพย์สินสรวงสวรรค์ มันเป็นข้าวของที่ได้มาจากใต้ต้นหลิวศักดิ์สิทธิ์ทองของแม่น้ำพันคาร์ฟแม่น้ำคงคา ซึ่งพระราชาเซียนเชียนหลี่ได้ทิ้งเอาไว้ให้กับเขา
ผู้เฒ่าจับเอาขวดทรัพย์สมบัติสรวงสวรรค์ขึ้นแล้วก็ดึงจุกออกมา จักรพรรดิบรรพกาลแลเห็นภายในใส่น้ำสีทองคำ ซึ่งน้ำสีทองคำดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้นก็คือน้ำอมฤตทองทรัพย์สินสรวงสวรรค์ โดยที่น้ำศักดิ์สิทธิ์กาญจน์โภคทรัพย์สรวงสวรรค์เหมือนดั่งเป็นทรายสีทองคำที่ประณีตนุ่มยิ่งไหลรินอยู่ในนั้น ข้างในน้ำศักดิ์สิทธิ์ทองทรัพย์สมบัติสรวงสวรรค์มีอยู่สิ่งหนึ่งดังว่ามันขยับเขยื้อนได้ ทั้งมันยังแผ่ประกายสีทองคำที่ไม่เหมือนกับน้ำศักดิ์สิทธิ์ทองทรัพย์สมบัติสรวงสวรรค์ เสมอเหมือนเส้นไหมทองคำที่เป็นสายๆแบบนั้น
น้ำอมฤตกาญจน์ทรัพย์สินสรวงสวรรค์และก็สิ่งที่อยู่ข้างในนั้น หลี่ชิเย่ได้มาจากถ้ำศักดิ์สิทธิ์ลึกลับขณะที่อยู่ที่ตี้เจียง แล้วก็มีตี้เว่ยเป็นผู้เฝ้ารักษาปากทางเข้าถ้ำ
ภายหลังที่ผู้เฒ่าได้มองเห็นสิ่งที่อยู่ข้างในนั้นแล้วถึงกับสนเท่ห์ใจ แหงนหน้าดูหลี่ชิเย่รวมทั้งบอกว่า “ของอย่างนี้เจ้าก็หามาได้”
“โลกนี้ไม่มีอะไรยาก ขอเพียงแต่มีความตั้งอกตั้งใจ” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเพิกเฉยว่า “แน่ๆ มันไม่อาจจะทำให้เจ้าหายสม่ำเสมอได้อย่างแท้จริง แม้กระนั้นมันสามารถทำให้เจ้ากลับคืนสู่จุดสุดยอดในบางครั้งบางคราวนั้นชั่วครั้งชั่วคราว เรามั่นใจว่าช่วงเวลาแบบนี้พอเพียงแล้ว”
ผู้เฒ่าผงกศีรษะและก็พูดว่า “ถึงเวลาก็จะทราบเอง”
หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบว่า “ในเมื่อเป็นแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นเหมาะแก่ขณะที่เราจะเปิดศึกกันแล้ว ฆ่าผู้มีอิทธิพลเสีย ถือว่าเป็นการจัดแจงสิ่งที่ค้างคาใจเจ้าให้จบ”
หลี่ชิเย่และก็ผู้เฒ่าปรึกษากันเป็นเวลานานมาก พวกเขาได้นำเอาเนื้อหากลยุทธทั้งผองมาถกกันจนกระทั่งเด่นชัดทุกขั้นตอน จนกระทั่งพูดได้ว่าไม่มีการไม่มีความเอาใจใส่ความเป็นไปได้อะไรก็ตามไปเลย จะเช่นไรเสียที่พวกเขาจำต้องพบเจอเป็นคนที่ยังคงอยู่ในฐานะที่น่าสะพรึงกลัวอย่างมาก แม้กระทั่งเป็นจอมกษัตริย์เซียนหวังที่มีชะตาฟ้าสิบสองสายในถือครองก็ไม่แน่ว่าจะรอดกลับมาได้โดยสวัสดิภาพ
ภายหลังที่เสวนากันในเนื้อหาจนกระทั่งสำเร็จ หลี่ชิเย่และก็ผู้เฒ่าได้เคาะสรุปแนวทางทั้งปวง ภายหลังที่ทุกสิ่งทุกอย่างได้ตกลงกันเป็นที่เป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ก็ได้ในขณะที่หลี่ชิเย่จำต้องจากไป
meenovel.com/novel/emperors-domination/
ในขณะหลี่ชิเย่กำลังจะจากไป ผู้เฒ่าได้กล่าวขึ้นมาช้าๆว่า “เจ้าควรรู้ดีว่า นี่ควรต้องชนะแค่นั้น”
หลี่ชิเย่ที่กำลังจากไปจากหยุดและก็หันหลังกลับมา แล้วก็บอกว่า “ถ้าศึกคราวนี้ยังเอาชนะมิได้ แล้วจะเอ๋ยถึงการสู้รบคราวสุดท้ายในอนาคตได้เช่นไร นี่เป็นเพียงแค่เรื่องจิ๊บๆของการสู้รบคราวสุดท้ายในอนาคตเพียงแค่นั้น”
“ถูก นี่เป็นเพียงแต่เรื่องจิ๊บๆแค่นั้น” ผู้เฒ่าก็ผงกศีรษะ
หลี่ชิเย่ได้ก้าวเท้าจากไปอีกที แม้กระนั้น เขาได้หยุดรวมทั้งหันหลังกลับมา เอ่ยขึ้นมาช้าๆว่า “ตาแก่ เจ้าเหมาะรู้ดีว่าเจ้าจำเป็นจะต้องตายแน่ๆ”
“เราทราบ เจ้าเองก็ทราบ” ผู้เฒ่าไม่เคยรู้สึกสนเท่ห์ใจ เรียบนิ่งยิ่งและก็พูดว่า “ถ้าหากเราไม่ตายจะชนะศึกคราวนี้ได้ยังไง!”
“ศึกคราวนี้ไม่เพียงแค่จำต้องชนะ เจ้าเองก็ถูกตายแน่ๆ” หลี่ชิเย่เรียบนิ่ง ตอนที่บอกคำๆนี้ออกมามองเย็นชาไร้อารมณ์มากมาย
“ถูก โลกนี้เช่นไรเสียก็จะต้องมีผู้รู้ ไม่ว่าจะเป็นคนที่อยู่ในข้างอธรรม หรือข้างธรรมะ ล้วนแต่เหมาะทราบดีว่าโลกนี้มีนักผู้รู้” ผู้เฒ่าก็เรียบเฉยเมยมากมาย พูดถึงหัวข้อนี้อย่างสงบเงียบ
“ถูก โลกนี้มีนักผู้รู้” หลี่ชิเย่นิ่งเงียบ ท้ายที่สุดก็ได้เอ่ยขึ้นมาว่า “มีเพียงแต่จุดประกายให้กับผู้มีปัญญายกตัวอย่างเช่นเจ้า ก็เลยสามารถส่องสว่างจิตใจของผู้คน ไม่ว่าจะเป็นคนที่ก้าวเดินไปด้านหน้า หรือคนที่ดักดานอยู่ เจ้าก็เหมือนดั่งตะเกียงดวงหนึ่งที่ส่องสว่างให้กับจิตใจของมนุษย์ โน้มน้าวให้คนที่มีความสว่างในใจให้ก้าวเดินไปท่ามกลางความมืดดำ สยบต่อคนที่อยู่ในความมืดมน ให้พวกเขากลัวต่อความสว่าง”
“โดยเหตุนี้ การมาไกลทุรกันดารของเจ้า ไม่เพียงแต่ปรารถนาลากเอาเพศผู้ยิ่งใหญ่ออกมาและก็ฆ่าเขาเสีย ชิงเอาทรัพย์สินของเขาไป” ผู้เฒ่ากล่าวขึ้นช้าๆว่า “เจ้ายังอยากที่จะให้เราตาย ให้เราได้จุดประกายให้กับโลกใบนี้”
“ถูก สิ่งนี้ก็คือแผนการที่สองกับการมาไกลทุรกันดารของเรา” หลี่ชิเย่กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แม้กระทั่งมีคำกล่าวที่ฮึกเหิมมากไม่น้อยเลยทีเดียว ก็ไม่มีพลัง คำยินยอมที่สวยงามกว่านี้ก็เป็นเพียงแค่ของหวานที่เป็นภาพวาดเพียงแค่นั้น ไม่ว่าจะเป็นผู้ที่มีใจง่อนแง่น หรือยังคงมีจิตใจที่สว่างไสวกึ่งกลางจิตใจ พวกเขายังคงปรารถนาตะเกียงที่สว่างไสวมาส่องนำทางให้กับพวกเขาท่ามกลางความมืดดำ”
ผู้เฒ่าได้เอ่ยขึ้นเบาๆว่า “เจ้าจุดความสว่างไสวให้กับเรา เพื่อเป็นการเตรียมตัวสำหรับเพื่อการทำศึกหนสุดท้ายในอนาคต”
“นั่นนะซิ การสู้รบในอนาคต สิ่งที่เราอยากมีเยอะแยะอย่างยิ่ง” หลี่ชิเย่พูดว่า “ผ่านไปช่วงหนึ่งยุคเล่า ยังจะมีคนใดมั่นใจว่าแสงไฟแจ่มแจ้งส่องสว่างทั่วหล้าอย่างเท่าเทียม? ปรัชญาเมธีคนแล้วคนเล่าล้มเหลว แล้วยังจะมีผู้ใดมั่นใจว่าทางสายนี้จะมีที่จบหรือเปล่า? ท่ามกลางความเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสของเวลาที่ยาวไกล ผู้ใดก็ไม่กล้าพูดว่าตนเองไม่เคยหวั่นไหว…”
“…ด้วยเหตุนั้น ตอนนี้อยากให้คนที่ก้าวเดินไปได้ทราบว่า โลกนี้มีนักผู้รอบรู้ เขาเสียเวล่ำเวลาโดยไม่มีประโยชน์ไปครึ่งค่อนสมัย ถึงแม้ว่าจะช่วงของตนเองล่มสลายไปแล้ว เขายังคงไม่ทอดทิ้ง ยังคงยืนหยัดสู้ให้ถึงที่สุด ความล้าสมัยความเสียหายผิดกำจัด เขาก็จะไม่ดับสิ้น! ความสว่างควรต้องตกทอดไปรุ่นสู่รุ่น โดยเหตุนั้น เราต้องจุดประกายเจ้าขึ้นมา!” เมื่อหลี่ชิเย่บอกมาถึงที่ตรงนี้ น้ำเสียงของเขาแผ่วเบามากมายๆ
“จะยังไงเสีย เรื่องแบบนี้ก็จะต้องมีคนไปทำ ไม่ใช่เจ้าก็คือเรา” ผู้เฒ่าไม่หวาดหรือวิตกกังวลอะไร เปิดเผยรอยยิ้มที่สุภาพออกมา
“เราเป็นเพียงแค่เพชฌฆาตคนหนึ่งแค่นั้น เราเป็นคนฆ่าสัตว์คนหนึ่ง ด้วยเหตุดังกล่าว ให้คนฆ่าสัตว์อย่างข้ามาจุดประกายให้กับเจ้าก็ตามใจ” หลี่ชิเย่หัวเราะรวมทั้งบอกว่า “ถ้าอนาคตมีการเวียนว่ายตายกำเนิด บางโอกาสเราจะไม่มีจังหวะเวียนว่ายตายกำเนิดชั่วนิจนิรันดร์!”
“คนไหนกันแน่บ้างหละที่หิวต้องการจะเวียนว่ายตายกำเนิดกันเล่า ไม่ใช่เรา และไม่ใช่เจ้า” ผู้เฒ่าเองถึงกับหัวเราะออกมา
หลี่ชิเย่ผงกศีรษะ หันหลังเดินจากไป
“กาดุร้าย…” ในช่วงเวลาที่หลี่ชิเย่กำลังจะจากไป ผู้เฒ่าได้เรียกตัวเขาอีกรอบหนึ่ง หลี่ชิเย่หันหลังกลับมาและก็จ้องดูไปที่เขา
“เจ้าจำเป็นต้องทำสำเร็จได้แน่ บอกตนเอง เจ้าจะต้องชนะ!” คำกล่าวของผู้เฒ่าหนักแน่นเป็นจริงเป็นจัง ท่าทางเคร่งขรึมขมักเขม้นมากมาย
หลี่ชิเย่สูดลมหายใจเข้าลึกๆครั้งหนึ่ง ชี้ไปที่อกของตนเอง กล่าวหนักแน่นเอาจริงเอาจังว่า “เราจำเป็นต้องสร้างอาณาจักรของตนเองขึ้นมา โลกนี้ไม่มีอะไรที่เราเอาชนะมิได้อยู่แล้ว!”
ผู้เฒ่าเปิดเผยรอยยิ้มออกมา และก็บอกว่า “ลาก่อน กาดุร้าย เกรงว่าภายหลังจากนี้เราอาจไม่มีจังหวะได้กล่าวคำๆนี้ออกมาอีกแล้ว”
“ลาก่อน ผู้รู้” หลี่ชิเย่สูดลมหายใจเข้าลึกๆหนหนึ่ง หันหลังจากไปโดยไม่ยินยอมหันกลับมาอีก
เขาไม่อยากให้ผู้ใดมองเห็นหางตาที่เปียกชุ่มโน่น ด้วยเหตุว่าการจุดติดผู้มีปัญญา พอๆกับเป็นการจุดประจำตัวเองด้วย พวกเขาเป็นคนประเภทเดียวกัน มีจิตที่การบำเพ็ญพยายามที่เช่นเดียวกัน แตกต่างกันเพียงแค่คนละช่วงแค่นั้น
ปราชญช่วยไถ่ชีวิตให้กับโลกของตนเอง ตอนที่หลี่ชิเย่ฆ่าสิ้นคนทรามทั่วแผ่นดิน คนหนึ่งเป็นพระผู้เป็นเจ้าช่วยโลก คนหนึ่งเป็นคนฆ่าสัตว์ ความเป็นจริงแล้วสิ่งที่พวกเขาอยากทำก็เกิดเรื่องเดียวกัน!
พระราชาสรวงสวรรค์ขวางเส้าเข้าไปยังสถานที่ที่เปลี่ยวและก็ไกลห่างแห่งหนึ่งของไกลทุรกันดาร สถานที่ที่นี้มีกรุ๊ปของเทือกเขาที่สูงชัน เทือกเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกเหมือนราวกับเป็นเขี้ยวหมาจิ้งจอกที่ทะลุขึ้นไปถึงจักรวาล โดยที่เทือกเขาศักดิ์สิทธิ์แต่ละลูกสลับกันเช่นเขี้ยวหมา ทั่วทั้งยังฟ้าดินดูน่าสะทกสะท้านเป็นยิ่งนัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหวลึกที่ไม่เห็นตูดเหวโน่น เหมือนกับเชื่อมตรงไปถึงแดนนรกเอวจีอย่างงั้น
ภายหลังที่เหยียบเข้าไปด้านในฟ้าดินที่นี้แล้ว รู้สึกได้ถึงลมที่เย็นเยือก ให้ความรู้ความเข้าใจสึกขนลุกขนพองเสียวถึงสันหลัง เหมือนกับได้มาถึงนรกอเวจีแล้วแบบนั้น
หากแม้ผู้หลายๆคนต่างทราบว่าสถานที่ที่นี้จะต้องเป็นพื้นที่อาถรรพณ์อย่างไม่ต้องสงสัย แม้กระนั้น เมื่อมองเห็นกษัตริย์สรวงสวรรค์ขวางเส้ายังกล้าเข้าไปในนั้น ทำให้ยอดความสามารถผู้บำเพ็ญตนไม่น้อยเลยทีเดียวที่ติดตามมาทางข้างหลังอดที่จะตามเข้าไปด้วยมิได้ พวกเขาต่างตามอยู่ข้างหลังของพระราชาสรวงสวรรค์ขวางเส้าอยู่ไกลๆ
ทุกคนทราบดีว่ากษัตริย์สรวงสวรรค์ขวางเส้ามาตรงนี้ด้วยเหตุผลอะไร จำเป็นต้องมาเพื่อการขุดหาขุมสมบัติอะไรสักอย่าง โดยเหตุนั้น ทุกคนก็เลยผจญภัยตามกันเข้าไป เผื่อภายหลังที่พระราชาสรวงสวรรค์ขวางเส้าขุดเอาขุมสมบัติไปแล้วอาจมีอะไรเหลืออยู่บ้าง ทุกคนก็จะได้เก็บเศษนั่น
เวลาเดียวกันก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่มิได้ติดตามมาเพื่ออยากได้ส่วนแบ่งอะไรโน่น ทุกคนต้องการแลเห็นพลานุภาพการลงมือของจอมกษัตริย์เซียนหวัง ทุกคนล้วนแต่ต้องการมองเห็นอำนาจชะตาฟ้ากับตาตัวเอง
จะยังไงเสีย ใช่ว่าผู้ใดก็มีสิทธิ์ได้เห็นภาพการต่อสู้สุดกำลังของจอมกษัตริย์เซียนหวังได้ ถ้าเกิดสามารถแลเห็นอำนาจของชะตาฟ้าด้วยสายตาตัวเองแล้ว ถือว่าไม่เสียชาติกำเนิดแล้ว
พวกของบุตรสาวพระราชาฉีหลิท้องฟ้ายใต้การนำของซึหุนหลินก็ได้ติดตามเข้ามาอยู่ท่ามกลางกรุ๊ปเทือกเขากลุ่มนี้แล้วเช่นเดียวกัน
ในที่สุด พระราชาสรวงสวรรค์ขวางเส้าได้ไปหยุดลงตรงรอบๆเทือกเขาลูกหนึ่ง เขาเพ่งมองไปบริเวณและก็พูดว่า “ที่ตรงนี้ล่ะ ราวที่บันทึกเอาไว้ราวกับแกะ!”
ขาดปาก กษัตริย์สรวงสวรรค์ขวางเส้ายกมือขึ้นฟาดเปรี้ยงลงไป แล้วต่อจากนั้นได้ยินเสียงดัง “ตูม ตูม ตูม” ดังกระหึ่ม ผืนแผ่นดินมีการหวั่นไหวโคลงไปๆมาๆ
ในขณะนี้เอง เห็นพระราชาสรวงสวรรค์ขวางเส้าเขวี้ยงธงพระราชาแต่ละอันออกไป เสาธงของธงพระราชาแต่ละอันได้ปักทะลุเข้าไปยังเทือกเขาแต่ละลูก หนึ่งธงพระราชาต่อเทือกเขาหนึ่งลูก
ภายหลังที่ธงพระราชาทั้งสิ้นถูกปักเป็นระเบียบเรียบร้อยแล้ว ขณะเดียวกันนั้นอำนาจกษัตริย์ฟุ้งไปทั่วฟ้าดิน อีกทั้งแทรกตัวไปทุกรูขุมขน ลักษณะราวกับเส้นใยสม่ำเสมอไม่ขาดระยะ ครอบคลุมไปทุกหย่อมหญ้า ดังว่าพลานุภาพจอมพระราชาได้แทรกเข้าไปทุกตารางนิ้งของพื้นดิน แล้วก็แทรกตัวลงไปยังส่วนที่ลึกที่สุดของพื้นดิน