จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1946 เจอเผ่ารอยเลือดอีกแล้ว
จักรพรรดิบรรพกาล Emperor’s Domination – บทที่ 1946
ไกลแห้งแล้งเป็นช่วงไม่สมประกอบที่ยังคงคงเหลืออยู่ แล้วก็เป็นหนึ่งในช่วงไม่สมประกอบที่คงเหลือที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของดินแดนที่การค้นหา ที่ยากมากกว่าก็คือ ในไกลแห้งแล้งซึ่งเป็นช่วงที่ไม่สมประกอบซึ่งยังเหลืออยู่กลับยังคงมีผู้มีอิทธิพลของช่วงดังที่กล่าวมาแล้วที่ยังคงมีชีวิตอยู่
สถานที่ซึ่งสามารถเชิดชูว่าเป็นช่วงไม่สมประกอบที่ยังเหลืออยู่ได้เต็มปากมีอยู่หลายที่ร่วมกัน แต่ถ้าว่า สถานที่ที่เป็นช่วงไม่สมประกอบที่ยังคงเหลืออยู่แต่ละที่ล้วนแต่เป็นหลักที่มรณะ ไม่มีสิ่งมีชีวิตเหลืออยู่
แต่ไกลแห้งแล้งกลับไม่เหมือนกัน มีผู้มีอิทธิพลจำนวนหลายชิ้นที่ยังคงมีชีวิตรอดและก็อยู่ในไกลทุรกันดาร
ก็แค่บรรดาผู้มีอิทธิพลที่มีชีวิตรอดมาได้นั้นทำเป็นเพียงแค่นอนใหลอยู่ท่ามกลางช่วงไม่สมประกอบที่ยังเหลืออยู่เพียงแค่นั้น ถูกฝังอยู่ภายใต้ซากเป็นนิรันดร
เพราะว่าพวกเขามิได้อยู่ในช่วงนี้อีกแล้ว พวกเขานับว่าเป็นชนิดที่ขึ้นกับระยะเวลาที่ได้ไหลเขยื้อนผ่านไปยาวนานมากแล้ว แม้พวกเขาปรารถนาไปจากไกลแห้งแล้งล่ะก็ถูกตายอปิ้งไม่ต้องสงสัย เมื่อไรที่พวกเขาก้าวออกมาจากไกลทุรกันดาร เวลาล้านล้านปีก็จะไหลผ่านตัวของพวกเขาไป แม้กระทั่งพวกเขามีความแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม จะไม่สามารถที่จะทนต่อระยะเวลานับล้านล้านปีที่เขยื้อนผ่านไป เมื่อถึงขณะนั้น พวกเขาก็จะต้องเปลี่ยนเป็นขี้เถ้าผงไป
พื้นที่ของไกลแห้งแล้งนั้นกว้างใหญ่ใหญ่มหึมามากมาย สถานที่หลายที่กล่าวได้ว่าอันตรายยิ่งนัก ถึงแม้ว่าจะเป็นจอมพระราชาเซียนหวังมาด้วยตัวเองก็ไม่แน่ว่าจะกลับออกไปได้โดยสวัสดิภาพ จนถึงบางทีอาจถูกตายอนาถอยู่ในนี้ก็เป็นไปได้
ณ สถานที่แห่งหนึ่งของไกลทุรกันดาร ลึกลับและก็แปลกมากมาย สถานที่ที่นี้น้อยคนนักที่จะเข้ามาถึง ถึงแม้ว่าจะเป็นจอมกษัตริย์เซียนหวังที่ได้เป็นเจ้าของชะตาฟ้าสิบสายก็ไม่อยากก้าวมาอยู่ที่ตรงนี้
สถานที่ที่นี้ตั้งอยู่รอบๆที่ห่างไกลมากมายของไกลแห้งแล้ง แม้กระนั้นมันกลับกลายศูนย์กลางของไกลทุรกันดาร
ที่ตรงนี้ถูกปกคลุมไว้ด้วยไอหมอก ทั่วทั้งยังอาณาเขตถูกปกคลุมไปด้วยพลังที่ลึกลับ ข้างนอกยากจะเห็นภาวะของข้างใน เพราะว่าสถานที่นี้ได้ถูกตัดขาดการมองมองเห็นโดยเด็ดขาดจากพลังที่ยิ่งใหญ่ไม่มีผู้เทียบเคียงเทียม
สถานที่นี้ไม่เพียงแค่ถูกปกคลุมด้วยไอหมอกเพียงแค่นั้น ทั่วทั้งยังรอบๆล้วนแต่มีสีดำเป็นสีหลัก ทอดตามองออกไป มองเห็นเพียงแค่ฟ้าที่มีไอหมอกเป็นสีม่วงดำ ทั้งมีความเข้มข้นไม่มีสิ้นสุด เหมือนหนึ่งเป็นเลือดใหม่ๆที่ครึ่งหนึ่งแห้งแบบงั้น
สถานที่นี้มีสิ่งก่อสร้างข้างหลังแล้วข้างหลังเล่า ทั้งสิ่งก่อสร้างแต่ละข้างหลังยังอยู่ในภาวะดี สิ่งก่อสร้างทุกข้างหลังมิได้สวยสดงดงามและก็โอ่อ่าอะไรมากเท่าไรนัก โดยก่อขึ้นมาด้วยหินสีดำที่ไม่รู้จำพวก ทุกข้างหลังล้วนแต่มองเรียบง่ายแม้กระนั้นใช้สอยได้ดิบได้ดี รวมทั้งมีความแข็งแรงยิ่งนัก
สิ่งก่อสร้างแต่ละข้างหลังที่ตั้งสูงเด่นอยู่ที่ตรงนี้ ได้ให้ความรู้ความเข้าใจสึกกับผู้คนถึงไม่มีทางถูกทำลายได้ชั่วกัลปวสาน สิ่งก่อสร้างที่ก่อสร้างด้วยหินสีดำนี้มองครึ้มและก็แข็งแรงมากมายเป็นพิเศษ ดังว่าถึงแม้ว่าจะฟ้ากระหน่ำลงมาก็ยังทำลายสิ่งก่อสร้างกลุ่มนี้ไปมิได้
เหมาะสมรู้ว่า ท่ามกลางช่วงไม่สมประกอบที่ยังเหลืออยู่ อาคารบ้านเรือนจำนวนมากจะถูกทำลาย แต่ เหมือนกับสถานที่ที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งสิ่งก่อสร้างทั้งหมดทั้งปวงล้วนแต่ถูกปกป้องไว้ได้บริบูรณ์แบบนี้ ไม่บางทีอาจไม่เรียกว่าเป็นความน่าพิศวงมิได้
ณ สถานที่ลักษณะแบบนี้ หากว่าเดินผ่านไปท่ามกลางสิ่งก่อสร้างแต่ละข้างหลังรอบๆนี้ จะมีขึ้นภาพในใจขึ้นมา ดุจว่าที่ตรงนี้เคยมีการบูชายันต์อะไรมาก่อนอปิ้งนั้น ถึงแม้ระยะเวลาได้ผ่านไปนานนับไม่ถ้วนแล้วหลังจากนั้นก็ตามที ในตอนที่ก้าวเดินอยู่ท่ามกลางสิ่งก่อสร้างพวกนี้ จะรู้สึกได้ว่าราวกับได้ยินเสียงร้องด้วยความเจ็บที่น่าเศร้า เสียงร้องโหยหวนดังกระหึ่มกังวานอยู่ข้างหูแบบนั้น
ภาพในใจแบบนี้ทำให้ผู้คนอดที่จะสั่นเทิ้มมิได้ จนกระทั่งคนที่ใจปลาซิวถึงกลับไม่กล้าก้าวเดินไปด้านหน้าอีกต่อไป
รอบๆที่เป็นส่วนที่ลึกที่สุด แล้วก็เป็นส่วนที่เป็นศูนย์กลางของสถานที่ที่นี้ ที่ตรงนั้นปรากฏแท่นบูชาสีดำแท่นหนึ่ง แท่นบูชานี้มิได้มีขนาดที่ใหญ่มหึมามากมายเป็นพิเศษ กลับมีความละเอียดมากเป็นพิเศษ ทั้งยังมองดูราวกับมีความซับซ้อนมากมาย โดยแท่นบูชานี้ก่อขึ้นโดยหินสีดำขนาดเล็กแต่ละก้อน ทั้งหินขนาดเล็กแต่ละก้อนล้วนแต่ไม่เห็นร่องของมัน มองไปแล้วดังว่ามันเป็นแท่นบูชาที่บริบูรณ์รวมทั้งกลมกลืนอย่างงั้น
สิ่งก่อสร้างทั้งหมดทั้งปวงที่อยู่รอบๆนี้ล้วนแต่ก่อสร้างได้หยาบคายมากมาย เป็นการก่อสร้างที่มองเป็นงานทั่วๆไป ซึ่งต่างจากงานของแทนบูชา มันเปรียบได้เสมือนดั่งเป็นงานศิลปะชิ้นหนึ่งที่ผ่านการแกะสลักรวมทั้งเจียระไนมาเป็นพันล้านปีแบบนั้น
เดี๋ยวนี้ มีคนกรุ๊ปหนึ่งที่โอบล้อมแท่นบูชาที่นี้ คนพวกนี้ล้วนแต่ใส่ชุดสีดำรวมทั้งปิดบังบริเวณใบหน้าเอาไว้หมดทุกคน พวกเขาต่างล้อมแท่นบูชาและก็ปากพร่ำสอนพร่ำบ่นเบาๆราวกับเป็นการอธิฐาน รวมทั้งราวกับเป็นการเทศน์ธรรม
ช่วงเวลาเดียวกัน บนแท่นบูชาได้จัดวางหีบศพสีดำอยู่หีบศพหนึ่ง โดยที่โลงศพสีดำหีบศพนี้ถูกจัดวางอยู่ตรงกลางของแท่นบูชา หันหัวไปทางทิศเหนือ ส่วนท้ายหันไปทางด้านทิศใต้ กิริยาท่าทางเสมือนเป็นการพิงผ่านพิภพดินแบบงั้น
กลุ่มของผู้คนที่ล้อมวงอยู่กับแท่นบูชาก็คือฝูงชนที่เป็นกองกำลังของเผ่ารอยเลือดซึ่งขึ้นรถมาพร้อมกับเรือนิรันดรนั่นเอง จักรพรรดิบรรพกาลเดี๋ยวนี้หีบศพสีดำที่พวกเขาหามมาด้วยได้มีการเปิดฝาโลงศพออกมาแล้ว
กลุ่มของผู้คนเผ่ารอยเลือดที่ล้อมวงอยู่กับแท่นบูชารวมทั้งเสมือนกำลังเทศน์ธรรมเบาๆภาษาที่พวกเขาส่งแสงออกมานั้นบุคคลภายนอกไม่มีผู้ใดเข้าใจ มันเป็นภาษาที่โบราณและไม่นับว่าเป็นภาษาของช่วงนี้
ควรรู้ว่า สถานที่ที่นี้พูดได้ว่าเป็นใจกลางของไกลแห้งแล้ง ถึงแม้ว่าจะรู้ดีว่ามีสถานที่ที่นี้ก็ไม่แน่ว่าสามารถมาถึงได้ ถึงแม้ว่าจะเป็นจอมพระราชาเซียนหวังที่เข้มแข็งมากมายองค์หนึ่งก็ไม่แน่ว่าจะมาถึงที่ตรงนี้ได้ จนถึงอาจจะกล่าวว่า ยังไม่ทันได้มาถึงก็ตายน่าสังเวชอยู่ระหว่างทางเสียแล้ว
ซึ่งต่างจากเผ่ารอยเลือด พวกเขาดูเหมือนกับว่ามีความเกี่ยวข้องอย่างถ่องแท้ สำหรับคนอื่นๆไกลทุรกันดารเป็นแผ่นดินอาถรรพณ์ แต่ว่ากับเผ่ารอยเลือดของพวกเขาแล้ว ไกลทุรกันดารเป็นความรู้สึกที่ราวกับได้กลับไปอยู่บ้านอย่างหนึ่ง แน่ๆ อยู่ที่ว่าบ้านข้างหลังนี้จะสารภาพพวกเขาหรือเปล่า
เวลานี้ คนของเผ่ารอยเลือดหลายสิบคนกำลังล้อมวงเทศน์ธรรมอยู่กับแท่นบูชา หรือจะกล่าวให้ถูกมากยิ่งกว่านี้เป็นการล้อมวงเทศน์ธรรมให้กับหีบศพสีดำที่ถูกเปิดออกหีบศพนั้น พวกเขาราวกับกำลังอธิฐาน เสมือนกำลังเล่า แล้วก็เสมือนกำลังภาวนาขอ…
“จี๊ด” ขณะนี้เอง เสียงที่แผ่วเบามากมายเสียงหนึ่งดังขึ้น มันเป็นเสียงที่แผ่วเบาจนกระทั่งยากที่กำลังจะได้ยิน แต่ ในเวลานี้หีบศพสีดำหีบศพนั้นถึงกับปรากฏเป็นเส้นเลือดฝอยที่ยื่นออกมาจากด้านในโลงศพ
เจ้าสิ่งนี้หาใช่เส้นเลือดฝอยไม่ ถ้าจะกล่าวให้ถูกจำเป็นที่จะต้องเรียกว่าเป็นหนวดที่มีสีแดง ทั้งยังยังมิได้มีเพียงแค่เส้นเดียวแค่นั้น โดยหนวดแต่ละเส้นได้เกาะอยู่กับข้างหีบศพ มันเบาๆไหลออกมาจากด้านในโลงศพเลาะไปตามโลงศพแล้วลงมายังแท่นบูชา
หนวดสีแดงคาวเลือดแต่ละเส้นขณะเคลื่อนกระดึ๊บไปด้านหน้ามองดูเหมือนเลือดใหม่ๆที่กำลังไหลริน จากหีบศพสีดำไหลไปตามแท่นบูชา
ดูหนวดสีแดงที่มีขนาดเล็กแต่ละเส้นที่กระจัดกระจายเต็มพื้นที่ของโลงศพสีดำหีบศพนั้นแล้ว เหมือนกับมันมีหนวดแตกออกขึ้นมาจำนวนนับไม่ถ้วนโดยทันทีทันใด ทำให้ขนลุกขนพองเมื่อพบเจอ จนกระทั่งในช่วงเวลาที่มันเคลื่อนกระดื้บๆไปด้านหน้าทำให้เกิดความรู้สึกน่ารังเกียจมากมายเป็นพิเศษ เกือบจะต้องการจะสำรอกคลื่นไส้ออกมา
จากการที่หนวดสีแดงที่คลานออกมาจากโลงสีดำเพิ่มมากยิ่งขึ้นทำให้ภาพนั่นมองไปแล้วยิ่งพิลึกมากเพิ่มขึ้น ประหนึ่งว่ามีหนอนเลือดจำนวนนับไม่ถวนอยากได้คลานออกมาจากหีบศพสีดำ แล้วต่อจากนั้นก็จะลอดเข้าไปในแทนบูชาอย่างงั้น
อย่างไรก็แล้วแต่ จากการที่หนวดสีแดงเพิ่มเยอะขึ้นคนของเผ่ารอยเลือดหลายสิบผู้ที่แผดเสียงงึมงำๆก็ดังขึ้นเรื่อยแรกทีเดียวพวกเขายังงึมงำด้วยเสียงทุ้มต่ำ มาคราวหลังพวกเขาได้กลายเป็นเสียงเทศน์ที่เป็นเสียงโทนสูงขึ้น ดูท่าทีของพวกเขาที่ส่ายไปส่ายมา ให้ความรู้ความเข้าใจสึกราวกับถูกธาตุไฟเข้าแทรกอย่างงั้น
“กี่ปีที่ผ่านไป พวกเจ้ายังคงไม่เลิกรา หรือจำเป็นต้องให้ฆ่าฟันล้างเชื้อสายรอยเลือดให้สิ้นพวกเจ้าก็เลยยอมเลิกรา” เวลาที่พิธีบูชาของพวกเขาได้ดำเนินจนกระทั่งระดับสูงสุด โดยพลันปรากฎเสียงที่เอ้อระเหยลอยมาสอดแทรกพิธีการของพวกเขา
เสียงที่ดังขึ้นมากะทันหันนี้ ทำให้พิธีบูชาทั้งปวงหยุดลงโดยทันที ตอนที่หนวดสีแดงที่อยู่ที่หีบศพสีดำราวกับถูกทำให้สะดุ้ง “เฟี้ยวว” ทั้งปวงหลบกลับเข้าไปในหีบศพสีดำนั้นอย่างเร็ว
จากการที่พิธีการถูกกัดกัน ทำให้บรรดาเผ่ารอยเลือดหลายสิบคนหันวับมาทันหน พวกเขาจ้องหลี่ชิเย่ด้วยความโมโห หากพวกเขามีดวงตาล่ะก็ แต่ถึงแม้ว่าจะไม่มีดวงตาก็ยังคงสามารถรับทราบถึงความโมโหของพวกเขาได้
meenovel.com/novel/emperors-domination/
คนที่กล่าวคำกล่าวนี้ออกมาก็คือหลี่ชิเย่นั่นเอง ในเวลานี้หลี่ชิเย่ได้เดินเข้ามาอย่างเอ้อระเหย เพียงแต่ดูเผ่ารอยเลือดที่กำลังโกรธเป็นอย่างมากด้วยท่าทางที่เรียบนิ่งหนหนึ่ง หลังจากนั้นไปนั่งบนแท่นบูชาด้วยท่าทางที่ไม่เกรงใจ มองสิ่งที่อยู่ด้านในโลงสีดำนั้นครั้งหนึ่ง ยิ้มนิดหน่อย แล้วพูดว่า “ถึงแม้ว่าการเกิดของชีวิตใหม่บนโลกมิได้หมายความถึงความเหี้ยมโหด ถ้าว่า ด้วยนิสัยคนอย่างเรา เหมาะที่เราจะเผาผลาญพวกเจ้าให้หมดสิ้นใช่หรือเปล่า”
ในตอนนี้ เผ่ารอยเลือดทุกคนล้วนแต่เพ่งมองไปที่หลี่ชิเย่ หากว่าพวกเขาจะไม่มีดวงตา แม้กระนั้นยังคงถลึงตาไปที่หลี่ชิเย่
ในใจของพวกขอเผ่ารอยเลือดต่างรู้สึกตกใจผสมความข้องใจไม่อาจจะทำจิตให้สงบลงได้ แม้กระนั้นไม่กล้าทำอะไรโดยพละการ ถึงแม้พวกเขาไม่รู้จักว่าหลี่ชิเย่มีประวัติภูมิหลังเช่นไร และไม่รู้ดีว่าหลี่ชิเย่มีความแข็งแกร่งเท่าใด แต่เชื้อสายของพวกเขามีสัญชาตญาณพิเศษ พวกเขารู้สึกกลัวต่อกลิ่นของหลี่ชิเย่ที่แผ่กระจายออกมา ประหนึ่งว่าหลี่ชิเย่เป็นคู่ปรปักษ์ของพวกเขา บนตัวเขามีกลิ่นที่ไม่ซ้ำใคร ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขากลัวยิ่งนัก
“เพื่อน เรามิได้ได้มีเจตนาร้าย เรามาตรงนี้เพียงแต่ปรารถนาอธิฐานเพียงเท่านั้น มิได้ทำสิ่งเลวร้าย” สุดท้าย ท่ามกลางเผ่ารอยเลือดมีคนผู้หนึ่งก้าวเดินออกมา โดยมีชุดดำปกคลุมตลอดตัว พูดบอกออกมา เสียงมองแก่หง่อม เขาน่าจะเป็นคนที่มีอำนาจสูงสุดในบรรดาทุกคนที่อยู่ในสถานะการณ์แล้ว
“ไม่มีเจตนาร้าย?” หลี่ชิเย่ถึงกับหัวเราะออกมา แล้วก็บอกว่า “ในสายตาของผ่านองว่า ยามที่เผ่ารอยเลือดพวกเจ้าปรากฎตัวขึ้นตรงนี้ก็ไม่อาจจะใช้คำว่ามีเจตนาร้ายไหมมาประเมินได้แล้ว”
คำบอกเล่าลักษณะแบบนี้ทำให้ปรปักษ์นิ่งอึ้งไปพักหนึ่ง ในที่สุดได้เอ่ยขึ้นช้าๆว่า “เพื่อน บนตัวของท่านแผ่แสงไฟออกมา แต่ว่า มันมิได้แสดงว่าเราต้องการความมืดดำ เราเป็นเพียงแค่เชื้อสายที่มีชีวิต หาใช่เป็นพวกดำมิดหมีเหี้ยมโหดแต่กำเนิด”
“แสงไฟ?” หลี่ชิเย่ถึงกับเปิดเผยรอยยิ้มที่ครุ่นคิดตรึกตรองออกมา ยิ้มบอกว่า “บนตัวของข้ามีแสงไฟหรือเปล่านั้นเราไม่เคยทราบ แต่ว่าเราทราบว่าเราเป็นเพชฌฆาตที่รอฆ่าฟันสิ่งที่ชีวิตที่ดำสนิท! ส่วนคนใดกันจะดำมิดหมีแล้วก็โหดร้ายทารุณแต่กำเนิดไหมนั้น อะไรบางอย่างเป็นอะไรที่กล่าวยาก ด้วยเหตุผลดังกล่าว เจ้ามีความคิดว่าเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่ภายใต้ดาบสังหารของเราไหมหละ พวกเจ้าอยากร้องโหยไห้ภายใต้ดาบสังหารของเราใช่หรือเปล่า?”
คำบอกเล่าของหลี่ชิเย่โดยพลันทำให้ปรปักษ์สั่นสะเทือนหวั่นไหว ถึงแม้ว่าเผ่ารอยเลือดจะมียอดความสามารถหลายสิบคนอยู่ตรงนี้ แล้วก็มีความแข็งแกร่งยิ่งนัก แต่ว่า พวกเขาไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม พวกเขาหวาดหวั่นต่อกลิ่นที่มีเพียงแต่หนึ่งไม่มีสองของหลี่ชิเย่
แสงไฟที่เผ่ารอยเลือดกล่าวถึงก็คือ จิตที่การบำเพ็ญบากบั่นที่มีเพียงแต่เพียงอย่างเดียวดวงนั้นของหลี่ชิเย่ ซึ่งจิตที่การบำเพ็ญมานะดวงนี้จัดว่าตรงกันข้ามกับแนวทางการเกิดของเชื้อสายพวกเขาอย่างสิ้นเชิง จนถึงอาจจะกล่าวว่า จิตที่การบำเพ็ญมุมานะดวงนี้ฯลฯเกิดคู่ปรปักษ์ของพวกเขา
“เราไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่ต่ำช้า” ท้ายที่สุด เผ่ารอยเลือดผู้นี้ได้กล่าวขึ้นมาช้าๆว่า “เรามิได้ไปประพฤติชั่ว เราเป็นเพียงแค่เชื้อสายหนึ่งที่มีชีวิตอาศัยอยู่บนโลกนี้เพียงแค่นั้น มิได้มีสิ่งที่แตกต่างอะไรเยอะมากกับเผ่าสรวงสวรรค์ เผ่ามาร เผ่าเทวดา แล้วก็ร้อยเชื้อสายสักเยอะแค่ไหน”
“อย่างงั้นรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มจางแล้วก็พูดว่า “เป็นผู้ใดกันแน่กันที่กลืนรับประทานชีวิตไปจำนวนนับไม่ถ้วนในตอนนั้น แน่ๆ นับตั้งแต่อดีตกาลถึงปัจจุบันนี้ แต่ละเผ่าต่างฆ่าฟันซึ่งกันและกัน ปริมาณคนที่เสียชีวิตก็นับกันไม่หวาดหวั่นไม่ไหว การตายไปนับพันล้านอาจไม่สามารถที่จะวินิจฉัยพิพากษาได้ว่าคนไหนกันเป็นข้างธรรมะ คนไหนเป็นข้างอธรรม แต่ว่าเมื่อมีการก้าวผ่านเส้นนั้นเมื่อไร ผู้ใดกันเป็นข้างอธรรมก็แจ่มชัดขึ้นในทันทีทันใด”
คำกล่าวนี้ของหลี่ชิเย่ทำให้คนของเผ่ารอยเลือดนิ่งอึ้ง แต่ว่าในที่สุด คนผู้นี้ได้คัดค้านว่า “เราเพียงแต่ปรารถนามีชีวิตอยู่เพียงแค่นั้น เราเพียงแค่ปรารถนาตกทอดถัดไป เพียงแต่นี้เพียงแค่นั้น เรามิได้พูดว่าปรารถนาครอบครองโลกใบนี้ และไม่ได้พูดว่าอยากได้แทนที่เชื้อสายอื่นๆเราเพียงแค่อยากได้ตกทอดถัดไปรุ่นสู่รุ่นแค่นั้น”