จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 1967 การรบที่ย้อนเวลา
จักรพรรดิบรรพกาล Emperor’s Domination – บทที่ 1967
ฆ่า…ปราชญก้าวผ่านเวลา ไล่ย้อนกลับไปถึงแหล่งกำเนิด ปีกคู่ของเขาฟันฉับลงไป เป็นกระบวนท่าฆ่าเด็ดขาด ใจเย็นไร้ความปราณี ไม่ให้โอกาสใดๆก็ตามให้กับสิบจอมชั่วร้าย ภายใต้หนึ่งกระบวนท่าที่ต่อสู้ลงไป ทำลายสิ้นไม่มีผู้ประมือ ตัดขาดทุกๆพลังแหล่งกำเนิด
ฆ่าคนไร้ความปราณีหาใช่เป็นคำกล่าวที่เลื่อนลอย เขาในฐานะผู้รู้ผู้หนึ่ง เขามีความศักดิ์สิทธิ์สูงสุด รักในชีวิต เห็นใจในทุกสิ่งมีชีวิต แต่ปราชญยังคงไร้ความปราณี ขอเพียงแค่ปราชญลงมือ เป็นจำต้องฆ่าสิ้นอย่างแน่แท้ ไม่เหลือไว้ซึ่งทางหนีครั้งไล่
การที่ผู้มีปัญญาเห็นใจในทุกสิ่งมีชีวิตมิได้แปลว่าใจอ่อนราวกับผู้หญิง! เขาเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ ควบคุมความสว่าง ด้วยเหตุดังกล่าว ผู้รู้ก็เลยปราศจากความรักลึกซึ้งระหว่างวัยรุ่น!
อ๊ากกก เสียงร้องที่น่าสงสารดังขึ้น ปีกศักดิ์สิทธิ์ที่ต่อสู้ลงมา สุขุมไร้ความปราณี หนึ่งการปะทะสลาย หัวของสิบจอมชั่วร้ายลอยขึ้นสูง ถูกฆ่ากระทั่งแหล่งกำเนิด ถึงแม้พวกมันจะมาจากความมืดมน ถึงแม้บนโลกนี้ความมืดมนยังจะดำรงอยู่ตลอดกาล แต่ พวกมันไม่สามารถที่จะมีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป เสียชีวิตไปกับหนึ่งการปะทะ ตรงไปสู่นรกอเวจีและไม่สามารถเวียนว่ายตายกำเนิดได้ชั่วกัลปวสาน!
“ผู้มีปัญญาไร้ความปราณี ถือว่าเป็นที่นึกถึงนะเนี่ย” บรรพบุรุษไกลทุรกันดารหลุนหุยยิ้มหน่อยนึง ปิดบังความมืดมน ก้าวออกไปก้าวหนึ่ง โดยพลันให้เวลาย้อนกลับไป และก็เจอกับปราชญในสายน้ำที่เวลา มือที่เหมือนกระบี่ แล้วก็เหมือนขวาน แสดงกระบวนท่าหนึ่งออกไปตามอารมณ์
“ความจริงเราเป็นนิรันดร” บรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยลำนำ ฝ่ามือที่ฟันลง ไม่มีกระบวนท่าที่พลิกแพลงนานาประการ ไม่มีพลังที่น่ายำเกรง ยิ่งปราศจากความมืดที่จินตนาการเอาไว้ แค่เพียงหนึ่งการปะทะและก็เป็นนิรันดร
“ภายใต้การปะทะลงมาในคราวนี้ มันมิได้ฟันกระทั่งเลือดเนื้อขาด แต่ว่ามันจะบดขยี้คนผู้นั้นให้สลายท่ามกลางวลาโดยตรง ทำบดขยี้ทำลายยุคสมัยของผู้นั้นโดยตรง ได้แก่บุคคลผู้นั้นสามารถมีชีวิตอยู่ได้หนึ่งร้อยปี ภายใต้การตัดแบบนี้ เวลาหนึ่งร้อยปีที่เป็นอายุขัยของคนผู้นั้นโดยพลันถูกทำลายจนกระทั่งย่อยยับ แบบนั้นแล้วก็เท่ากับว่าบุคคลผู้นั้นไม่เคยยังคงอยู่บนโลกนี้มาก่อน ไม่มีช่องทางจนกระทั่งเกิดกำเนิดบนโลกนี้ด้วย
เสียงปัง…ดังขึ้น การจู่โจมของบรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยได้ถูกขนศักดิ์สิทธิ์ของผู้รู้ แม้กระทั่งเป็นขนศักดิ์สิทธิ์ของปราชญที่มีประกายศักดิ์สิทธิ์ราวกับคลื่นสึนามิ แม้กระนั้น เมื่อถูกฟันเข้าให้ทันทีเศร้าใจรวมทั้งอับแสงสว่างขึ้นในทันทีทันใด ไฟศักดิ์สิทธิ์ดับวูบลงในทันที ปราชญได้รับบาดเจ็บร้ายแรง โดยพลันหลุดล่วงจากสายน้ำที่ระยะเวลาลงมา กลับมาอยู่ที่เดิม
ตอนนี้ พลังศักดิ์สิทธิ์ของปราชญถูกตัดทอนไปๆมาๆกทีเดียว ประกายศักดิ์สิทธิ์ทั่วร่างของเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอ่อนแอมากมาย จนถึงสีหน้าท่าทางของปราชญก็ยังเผือด
เมื่อจอมกษัตริย์เซียนหวังเห็นภาพแบบนี้แล้ว ฉับพลันทำให้มีความรู้สึกเย็นวาบในใจ การจู่โจมในรูปแบบนี้หาใช่เป็นการต่อสู้ฆ่าลงบนกายเนื้อ แต่ว่าเป็นการต่อสู้ตัดสินท่ามกลางสายน้ำที่ยุคสมัย
ภายใต้การต่อสู้วินิจฉัยลักษณะแบบนี้ถ้าหาก ซึ่งถ้าหากว่าถูกบรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยจู่โจมเข้าให้ล่ะก็ พอๆกับว่าเวลาถูกทำลายโดยตรง เหมือนดั่งจอมกษัตริย์เซียนหวังองค์หนึ่งที่ถูกฟันเข้าให้ ถ้าไม่สามารถที่จะต้านทานรับกับพลังที่เป็นนิรันดรแบบนี้ได้ ก็จำเป็นที่จะต้องสลายไปโดยตรง ราวกับว่าพวกเขาไม่เคยได้เกิดเกิดขึ้นบนโลกนี้มาก่อนเลย ถูกฆ่าโดยตรงตั้งแต่แหล่งแหล่งกำเนิดเลย
การฆ่าด้วยวิธีนี้สยองขวัญมากกว่าการนองเลือดล้างผลาญเสียอีก หากเป็นการฆ่าฟันทำลายต่อกายเนื้อยังได้โอกาสโต้ตอบ แม้กระนั้น การฆ่าลักษณะแบบนี้แม้รับไม่อยู่ โน่นคือถูกทำลายล้างอย่างแท้จริงแล้ว
“เราบอกแล้ว เพื่อน เจ้าไม่ใช่คู่แข่งของเรา” เวลานี้ บรรพบุรุษไกลทุรกันดารหลุนหุยก็ได้กลับมาถึงสนามรบรบแล้วด้วยเหมือนกัน ส่ายหัวและก็บอกว่า “แม้เป็นครั้งนั้น เจ้ายังสามารถสู้กับเรา แม้กระนั้น ถึงแม้ว่าจะข้ามีกำลังเพียงแต่เจ็ดถึงแปดส่วนในตอนนี้ ก็สามารถทำลายเจ้าได้ด้วยเหมือนกัน”
“นี่เป็นเพียงแค่การเปิดเกมเพียงเท่านั้น” ปราชญไม่เคยทราบสึกอยู่เหนือความคาดหมายกับการปราชัยในลักษณะแบบนี้ ท่วงท่าเรียบเฉยเมย รวมทั้งบอกว่า “เจ้าเองก็มีพลังเพียงแค่แปดส่วนของคราวนั้นเพียงแค่นั้น ในช่วงเวลานี้การเตรียมพร้อมได้สิ้นสุดลงแล้ว ถึงเวลาที่จะชี้ผลแพ้ชนะได้แล้ว” กล่าวพลางล้วงจับเอาขวดโภคทรัพย์สรวงสวรรค์ออกมา กระดกกินน้ำทิพย์ทรัพย์สมบัติสรวงสวรรค์รวดเดียวหมดขวดไม่เหลือแม้กระทั้งหยดเดียว
เสียงตูม…ดังลั่น นาทีนี้ไฟศักดิ์สิทธิ์ผู้มีปัญญามากขึ้นอย่างเพ้อคลั่ง นาทีนี้ไฟศักดิ์สิทธิ์ของผู้รู้ดันโลกนี้ให้แยกออก อย่าว่าแต่ว่าเพียงแค่ชิงโจวเลย ถึงแม้ว่าจะเป็นสิบสามทวีปก็ถูกทำให้ตระหนกตกใจตื่นกับพลังศักดิ์สิทธิ์ที่มากขึ้นอย่างคลุ้มคลั่งของผู้รู้
คนที่อ่อนด้อยไม่เคยทราบว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นกันแน่ ทำเป็นเพียงแค่ก้มกราบกับพื้นสยบทั้งกายใจ ด้วยความนับถือเต็มหัวใน
แต่ถ้าว่า บรรดาจอมกษัตริย์เซียนหวังของทวีปอื่นๆทันทีถูกทำให้สะดุ้ง สายตาแต่ละคู่ของจอมพระราชาเซียนหวังล้วนแต่มองดูมาที่ชิงโจว ทุกคนล้วนแต่อยากรู้ว่ามันเกิดเหตุอะไรขึ้น
มีจอมกษัตริย์เซียนหวังที่อยู่ในระดับสูงสุด สายตาของพวกเขาสามารถทะลุผ่านด่านที่ขัดขวางช่องว่า จักรพรรดิบรรพกาลเวลาที่จอมพระราชาเซียนหวังมากมายไม่อาจจะดูทะลุผ่านด่านที่กีดกันช่องว่างไปได้ ได้แม้กระนั้นอาศัยการรับทราบด้วยแนวทางสัมผัสเพื่อรับทราบถึงผู้กระทำระเพื่อมของคลื่นพลังแบบนี้
นาทีนี้ ปราชญเหมือนกับเป็นผู้จ้างวานช่วงแบบงั้น ประกายศักดิ์สิทธิ์ของเขาไม่เพียงแค่ส่องสว่างฟ้าดินแค่นั้น จนกระทั่งส่องสว่างสายน้ำที่เวลาของช่วงทั้งยังสมัย
นาทีนี้ ผู้มีปัญญาก้าวเท้าก้าวเดียวเข้าไปท่ามกลางสายน้ำที่เวลา ประกายศักดิ์สิทธิ์และก็เวลาไหลรินอยู่ท่ามกลางยุคสมัย นาทีนี้ ไฟศักดิ์สิทธิ์ของผู้รู้ได้กระทำสลักช่วงนี้อยู่ ไม่ทราบว่ามีผู้คนปริมาณมากแค่ไหนที่ทารกมาก็ได้รับคำอวยพรจากพลังศักดิ์สิทธิ์ ได้รับการป้องกันจากประกายศักดิ์สิทธิ์ เกิดขึ้นความสว่างขึ้นกึ่งกลางหัวใจ
เสียงตึง ตึง ตึงที่เพราะดังตูมตามขึ้นมาเป็นระลอกไม่ขาดหู เห็นเกล็ดศักดิ์สิทธิ์แต่ละชิ้นที่ปิดทับลงบนตัวของผู้มีปัญญา เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว บนตัวของปราชญได้สวมชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ทั่วทั้งยังร่าง
ชุดเกราะศักดิ์สิทธิ์ชุดนี้เหมือนกับได้ตกทอดความความนับถือของแต่ละช่วงมา ทุกสิ่งมีชีวิตจำนวนนับไม่ถ้วนต่างมองแสงไฟอย่างหิวหิว พวกเขาอธิฐานให้กับปราชญ ประกายศักดิ์สิทธิ์ลักษณะแบบนี้ไม่เพียงแต่มอบพลังที่ไม่มีขอบเขตจบให้กับผู้รู้ ช่วงเวลาเดียวกันก็กระทำรักษาการบาดเจ็บให้กับปราชญ ช่วยไล่ส่งความมืดดำให้กับปราชญ
เสียงตึง…ดังขึ้น กระบี่ยาวปรากฏขึ้นมา ในเวลานี้มือของผู้รู้กำกระบี่ยาวเอาไว้เล่มหนึ่ง กระบี่ยาวเล่มนี้มีประกายศักดิ์สิทธิ์วูบวาบ แต่ว่ามีประกายของโลหะที่สุขุมวูบวาบ ปรากฎแสงสว่างที่ความไม่มีปราณีและก็ฆ่าไม่มียกเว้นที่ฉายประกายวับแวม
แม้จะพูดว่า เกราะศักดิ์สิทธิ์ของผู้มีปัญญาตกทอดความมุ่งหวังเอาไว้ แบบนั้นแล้ว กระบี่ยาวเล่มนี้ก็ตกทอดความตายเอาไว้ มันฆ่าสิ้นทุกอย่าง ยามที่กระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ต่อสู้ลงมา ก็คือการวินิจฉัยขั้นท้ายสุด สามารถตัดขาดแหล่งกำเนิดของความมืดมน ไม่ว่าจะเป็นอมตะไหม ไม่ว่าจะไม่มีทางสลายหรือเปล่า ภายใต้การตัดสินของกระบี่ศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ ล้วนแต่แปลงเป็นขี้เถ้าผงไป
เสียงใสกังวานของโลหะที่ดังตึง ตึง ตึงขึ้นเป็นระลอก ปัจจุบันนี้ปีกศักดิ์สิทธิ์ของปราชญเปรียบเสมือนได้เปลี่ยนสภาพเป็นโลหะอย่างงั้น ถึงแม้ว่าปีกศักดิ์สิทธิ์ยังคงมีประกายศักดิ์สิทธิ์ที่กระจัดกระจาย ไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ดังคลื่นสึนามิ กลับชี้ให้เห็นถึงความใจเย็น ใจเย็นจนถึงไร้ความปราณี ปีกศักดิ์สิทธิ์คู่นี้ดุจว่าได้เปลี่ยนเป็นอาวุธที่สุขุมไร้ความปราณีเยอะที่สุดนับตั้งแต่อดีตกาลเป็นต้นมา พลานุภาพที่ต่อสู้ลงมาของมันมิได้ด้อยไปกว่ากระบี่ศักดิ์สิทธิ์
meenovel.com/novel/emperors-domination/
นาทีนี้ดุจว่าปราชญได้เปลี่ยนไปเป็นชายหนุ่มขึ้น มีชั้นเชิงที่สง่างามปัญญาเหนือผู้คน มีท่วงทีที่ยอดเยี่ยมเหนือผู้คนทั่วหล้า ทำให้คนเห็นจะต้องมีจิตใจที่เอนเอียงเข้าพบ
นาทีนี้ปราชญถึงกับฟื้นคืนกำลังของตนเอง ก้าวขึ้นสู่ภาวะสูงสุด ภาวะของปราชญในขณะนี้อย่าว่าแต่ว่าเป็นคนอื่นๆเลย แม้กระทั้งผู้มีอิทธิพลที่ความมืดดำที่พักผ่อนหลับอยู่ของไกลทุรกันดารถึงกับจำเป็นต้องสั่นเทา
เพราะว่าผู้รู้ที่อยู่ในภาวะจุดสุดยอด พวกเขาไม่ใช่คู่ปรปักษ์โดยเด็ดขาด ภายใต้การฆ่าเด็ดขาด ชะตาของพวกเขาเป็นถูกฆ่าสถานที่เดียว ผู้รู้ที่อยู่ภายใต้ภาวะสูงสุดกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ประมือ มีเพียงแต่บรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยเพียงแค่นั้นที่ต่อกรได้
“ดูท่าคงจะได้ยาดีมาแล้วสิ” บรรพบุรุษไกลทุรกันดารหลุนหุยที่แลเห็นการกลับคืนสูงจุดสุดยอดของปราชญแล้วมิได้รู้สึกสนเท่ห์ใจ ก้มศีรษะแล้วก็พูดว่า “หากว่าเจ้าห่างจากจุดสุดยอดในตอนนั้นเพียงแต่คืบ แม้กระนั้นก็พอเพียงแล้วหละ มิน่าล่ะเพื่อนเก่าถึงได้มีความเชื่อมั่นแบบนี้ว่าฆ่าเราได้”
“ให้มันสิ้นสุดในวันนี้ก็ตามใจ ให้เรามาทำให้ช่วงที่ปวดนี้จบสิ้นกันไป ถึงเวลาที่ปัดกวาดให้มันราบคาบได้แล้ว” ปราชญชี้กระบี่ไปที่บรรพบุรุษไกลทุรกันดารหลุนหุยด้วยทีท่าที่เย็นชา
“ถ้าหากว่าเจ้าสามารถทำให้จบ แบบนั้นก็ให้มันจบลงก็ตามใจ” บรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยก้มศีรษะ รวมทั้งบอกว่า “แต่ว่า เกรงว่าบางทีก็อาจจะไม่เป็นไปตามความคาดหวัง เพื่อน” ขาดปากได้ก้าวไปด้านหน้าก้าวหนึ่งด้วยเหมือนกัน
บรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยก้าวสู่สายน้ำที่ระยะเวลาในก้าวเดียว เขาก้าวเดินไปครั้งละก้าวๆไล่ย้อนไปครั้งละก้าว เพียงแค่ชั่วพริบตาเดียว บรรพบุรุษไกลทุรกันดารหลุนหุยได้ก้าวผ่านกลับสู่ช่วงของพวกเขา
แม้ว่าจะพูดว่าพวกเขากลับไปยังช่วงของพวกเขามิได้ แต่ว่าสายน้ำที่เวลาดำรงอยู่เสมอ ยังคงไหลรินอยู่นั่นตลอดมา เพราะฉะนั้น พวกเขาสามารถก้าวผ่านกลับไปยังขณะที่เป็นช่วงของพวกเขาท่ามกลางสายน้ำที่เวลา!
เสียงตูม…ดังสนั่นหวั่นไหว ในช่วงเวลาของช่วงนั้นท่ามกลางสายน้ำที่เวลา บรรพบุรุษไกลทุรกันดารหลุนหุยก้าวเข้าไปยังแหล่งแหล่งกำเนิดในก้าวเดียว ทันทีความมืดดำเช่นคลื่นสึนามิ ในพริบตานั้นเอง ผมสีดำของบรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยสลัดอย่างหนัก ความระรานยากมีผู้เทียบเคียงเทียม เขายืนอยู่ท่ามกลางความมืดมน ข้างหลังแบกรับสรวงสวรรค์เอาไว้ ก้มดูช่วงหนึ่ง
นาทีนี้ บรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยก็คือผู้อยู่เบื้องหลังของช่วงนี้ ถึงแม้ว่าเขามิได้ใส่มงกุฎกษัตริย์ แต่ว่า เขากลับกลายราชาที่ไม่มีมงกุฎ นาทีนี้บรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยเหมือนหนึ่งได้กลับไปยังวันในช่วงเวลาที่อยู่วัยชายหนุ่ม มีความระรานยากจะหาใดเทียม ไม่มีเพื่อนฝูงทั่วหล้า ถามโลกหล้า มีคนใดกันสามารถเป็นศัตรูกับเขาได้
ท่ามกลางความมืดมนที่อยู่ในสั่งการของบรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุย ไม่มีผู้ใดสามารถมีสิทธิ์ทาบเขาได้ แม้กระทั่งเป็นอัจฉริยะบุคคล แม้กระทั่งเป็นผู้มีอิทธิพลระดับสูงสุด ก็จำเป็นต้องยอมศิโรราบต่อความมืดมนของเขา ท่ามกลางช่วงที่ปกคลุมด้วยคยวามมืด ถึงบุคคลผู้นั้นจะหนักแน่นเท่าใดก็เป็นเพียงแค่มดปลวกตัวหนึ่งเพียงแค่นั้น
บรรดาจอมกษัตริย์เซียนหวังเยอะแยะที่เห็นบรรพบุรุษไกลทุรกันดารหลุนหุย ซึ่งมีความแข็งแกร่งไม่มีผู้เทียบเคียงเทียมท่ามกลางแหล่งแหล่งกำเนิดความมืดดำแล้ว ถึงกับหวาดหวั่นหวั่นบรรพบุรุษไกลทุรกันดารหลุนหุยที่อยู่ในภาวะแบบนี้ จอมกษัตริย์เซียนหวัง ที่มีชะตาฟ้าสิบสายอาจสุดที่จะยอมรับได้ มีเพียงแค่พระราชาซื่อตี้ที่ยังสามารถสู้ได้!
ลองนึกถึง หากว่าตัวเองจำต้องกำเนิดอยู่ในช่วงแบบนี้ มันช่างเกิดเรื่องที่ทำให้หมดกำลังใจแค่ไหน ครั้งคราว ท่ามกลางช่วงแบบนี้ มีจอมพระราชาเซียนหวังปริมาณมากแค่ไหนที่จำต้องสยบต่อความมืดดำกันเล่า
ในตอนที่ผู้รู้ซึ่งจำเป็นต้องประจันหน้ากับบรรพบุรุษไกลทุรกันดารหลุนหุยที่น่าหวาดผวาไม่มีของเขต กลับสามารถยืนหยัดมาเป็นช่วงอย่างทุกข์ยาก สามารถรบกับบรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยจนกระทั่งถึงที่สุด หากว่าสุดท้ายแล้วยังคงไม่สามารถที่จะช่วยเหลือช่วงนี้เอาไว้ได้ ในที่สุดแล้วยังคงไม่อาจจะทำให้แสงไฟส่องสว่างไปทั่วหล้าอย่างเท่าเทียม แม้กระนั้นเขากลับราวกับเสาที่รอค้ำกระทั่งถึงฟ้าต้นหนึ่ง ยืนหยัดอยู่ท่ามกลางความมืดดำไม่มีล้มลง
ตราบเท่าที่ผู้มีปัญญาอยู่ ประกายของเขาก็จะส่องสว่างช่วงนี้ ปราชญเสมือนเป็นตะเกียงที่ส่องสว่างท่ามกลางความมืดดำ รอนำทางให้คนที่ตามมาวันหลังได้ก้าวเดินไปด้านหน้า ทำให้คนที่ก้าวตามมาคราวหลังไม่หลงทางท่ามกลางความมืดมน
นาทีนี้ คนจำนวนไม่น้อยก็เลยได้รู้เรื่องอย่างแท้จริงว่านักผู้รอบรู้มีความใหญ่โตแค่ไหน มีความยอดเยี่ยมยังไง ด้วยผลงานแบบนี้ยากจะมีจอมพระราชาเซียนหวังสามารถเทียบได้ ด้วยเหตุผลดังกล่าว จอมกษัตริย์เซียนหวังปริมาณเยอะแค่ไหนที่เห็นภาพนี้แล้วจำเป็นต้องยืนขึ้นมาแสดงความนับถือเลื่อมใสเลื่อมใสอย่างซาบซึ้งกันเล่า
“เพื่อนเก่า ถึงแม้ว่าช่วงมิได้ดำรงอยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ว่าให้เราได้กลับไปสู้กันที่ระยะเวลาของเรา ตรงนั้นก็เลยเป็นสนามรบรบของเรา” บรรพบุรุษไกลแห้งแล้งหลุนหุยที่ยืนอยู่ในตอนที่เป็นของช่วงพวกเขาท่ามกลางสายน้ำที่ยุคสมัย ดูไปยังที่ที่ห่างไกล แล้วก็กล่าวต่อผู้มีปัญญา
“แบบนั้นก็ให้เราไปสิ้นสุดกันที่สายน้ำที่ยุคสมัยของเราเหอะ” ผู้มีปัญญาขู่คำรามเสียงยาว หนึ่งก้าวหนึ่งระยะเวลา ย้อนกลับไปที่จุดเริ่มแรก ก้าวเข้าสู่ท่ามกลาวกาลเวลาพวกเขาในสายน้ำที่เวลา
สายน้ำที่ยุคสมัยยังคงไหลรินอย่างเงียบๆตั้งแต่สมัยก่อนถึงตอนนี้ แม้ว่าจะบอกว่าไม่มีผู้ใดสามารถกลับไปได้ ไม่มีผู้ใดกลับไปยังสมัยก่อนของตนได้ ทว่า ขอเพียงแค่บุคคลผู้นั้นแกร่งพอเพียง ยังคงสามารถกลับไปยังระยะเวลาที่เคยอยู่ได้
ท่ามกลางยุคสมัยในสายน้ำที่ระยะเวลานี้ แม้ว่าจะพูดว่าเจ้ากลับไปยังโลกที่เคยอยู่มิได้ ไม่เห็นผู้ที่เจ้ารัก ผู้ที่เคยเผชิญพบเห็น แต่ถ้าว่าท่ามกลางระยะเวลานี้ ยังคงสามารถรับทราบถึงเวลาในคราวนั้น สามารถกลับไปอยู่ในภาวะของครั้งคราวนั้นได้!