จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2461

หลังจากที่หลี่ชิเย่เข้าพักอาศัยในเขาจิ่วเหลียนซานได้ไม่นานนัก เขาจิ่วเหลียนซานก็ได้เริ่มคึกคักขึ้นมาแล้ว ถึงกับเริ่มมีผู้บำเพ็ญตนบางส่วนจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เข้ามาพักที่เขาจิ่วเหลียนซาน
แม้จะกล่าวว่า มีผู้บำเพ็ญตน ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เข้าพักที่เขาจิ่วเหลียนซานมาโดยตลอด หรือมาบรรลุสัจธรรมที่เขาจิ่วเหลียนซาน แต่ว่า โดยปรกติแล้วผู้ที่มาเพื่อบรรลุธรรมในเขาจิ่วเหลียนซานล้วนแล้วแต่มาเพียงลำพังคนเดียว กระทั่งเป็นไปได้ว่าวันหนึ่งจะมีคนมาแค่เพียงหนึ่งหรือสองคนเท่านั้น
แต่ทว่า หลายวันมานี้มีผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เข้าพักในเขาจิ่วเหลียนซานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อีกทั้งส่วนใหญ่ผู้เข้าพักในเขาจิ่วเหลียนซานนั้นจะเป็นศิษย์กลุ่มคนรุ่นใหม่
“วันเปลี่ยนสีของทะเลสาบทั้งเก้าของเขาจิ่วเหลียนซานใกล้จะมาถึงแล้ว” ชายวัยกลางคนที่เฝ้าหน้าประตูทางเข้ามองดูแวบหนึ่ง อดที่จะพึมพำขึ้นมาเมื่อมองเห็นผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่พากันเข้ามาพักที่เขาจิ่วเหลียนซานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะศิษย์ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่
“พี่ไป๋เฮ่อ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าจะได้พบท่านที่นี่นะเนี่ย” จังหวะที่ศิษย์ผู้บำเพ็ญตนของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้เข้าพักที่เขาจิ่วเหลียนซานมากขึ้นเรื่อยๆ นั้น มีศิษย์ของสำนักเจ้าลัทธิจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันพบกับสหายเก่าที่เขาจิ่วเหลียนซานแห่งนี้ ต่างทยอยกันทักทายและพูดคุยถึงเรื่องราวในอดีต
มีศิษย์ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่บางคนที่ต่างฝ่ายต่างไม่เคยรู้จักกันมาก่อน หลังจากต่างฝ่ายต่างแนะนำตนแล้วก็ค่อยๆ รู้จักกันมากขึ้น และสร้างความสนิทสนมกันขึ้นมา
แม้จะกล่าวว่าสำนักต่างๆ ในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ล้วนแล้วแต่มีความขัดแย้งกันมาก่อน แต่ว่า กล่าวสำหรับผู้บำเพ็ญตนส่วนใหญ่แล้ว ทุกคนต่างก็สังกัดเป็นศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ หากจะพูดกันถึงในระดับหนึ่งแล้วทุกคนถือเป็นครอบครัวเดียวกัน ดังนั้น ภายใต้ปราศจากความขัดแย้งทางด้านผลประโยชน์แล้ว ศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่จำนวนไม่น้อยยังนับได้ว่ามีความเป็นมิตรสำหรับการอยู่ร่วมกันระหว่างกัน
“ทะเลสาบทั้งเก้าจะเปลี่ยนสีแล้ว พี่ไป๋เฮ่อก็มาเพื่อพานพบเรื่องประหลาดมหัศจรรย์รึ? ” สหายเก่าพบหน้ากัน ย่อมอดที่จะพูดคุยกันอย่างอบอุ่นขึ้นมา
ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ผู้ถูกยกย่องว่าพี่ไป๋เฮ่อส่ายหน้า และกล่าวว่า “พี่อู๋ยกย่องข้ามากไปแล้ว ความมหัศจรรย์ของเขาจิ่วเหลียนซาน ใช่จะพานพบได้ง่ายดาย หมื่นชาติก็ยากจะพานพบสักครั้ง ต่อให้หมื่นชาติปรากฎสิ่งมหัศจรรย์สักครั้ง เกรงว่าข้าก็ไม่มีโอกาสเช่นนั้น การเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบในครั้งนี้ ยอดฝีมือและอัจฉริยะบุคคลที่มานั้นมีจำนวนมากเหลือเกิน องค์หญิงของตระกูลปิงฉือ เทพธิดาของจิ้งเหลียนกวานล้วนแล้วแต่จะมาที่เขาจิ่วเหลียนซาน
“ข่าวนี้ของพี่ไป๋เฮ่อน่าเชื่อถือหรือไม่? ” ผู้บำเพ็ญตนกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ถูกเรียกว่าพี่อู๋ถึงกับตกใจกับข่าวนี้
“น่าเชื่อถือ” การข่าวของพี่ไป๋เฮ่อผู้นี้ไวมาก กล่าวว่า “ไม่ขอปิดบังพี่อู๋ การเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบในครั้งนี้ ไม่เพียงองค์หญิงของตระกูลปิงฉือ และเทพธิดาของจิ้งเหลียนกวานจะมา ข้าได้ข่าวมาว่า เกรงว่าดาบศักดิ์สิทธิ์และราชันแท้จริงก็จะมาด้วยตนเอง”
“ดาบศักดิ์สิทธิ์กวานไห่ และราชันแท้จริงปาเจิ้นรึ? ” พี่อู๋ถึงกับตระหนกอย่างยิ่งเมื่อได้ยินข่าวนี้ รู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงในใจกับสิ่งนี้
“ถูกต้อง เป็นดาบศักดิ์สิทธิ์กวานไห่ และราชันแท้จริงปาเจิ้น” ท่าทางของพี่ไป๋เฮ่อกล่าวหนักแน่นจริงจังว่า “เกรงว่าการเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบในครั้งนี้ ห้าแกร่งก็จะมาด้วย นอกเหนือจากห้าแกร่งแล้ว ราชวงศ์โต่วเซิ่นก็จะมีคนมาด้วย”
“ห้าแกร่งกับราชวงศ์โต่วเซิ่นกำลังนัวเนียกันอยู่ที่เมืองกัวชางเฉิงมิใช่รึ?” ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่อู๋กล่าวด้วยความตระหนกว่า “ได้ยินว่าสำนักเจ้าลัทธิต่างๆ กับกองทัพต่างส่งทัพใหญ่ประจันหน้ากันอยู่ที่เมืองกัวชางเฉิง พวกเขาจะมาที่เขาจิ่วเหลียนซานได้อย่างไร? ก่อนหน้านั้นข้ายังได้ยินมาว่า ราชันแท้จริงปาเจิ้นยังเข้านั่งบัญชาการที่กัวชางเฉิงด้วยตนเองเลย”
“ข่าวของท่านตกข่าวไปแล้ว” ผู้ที่ชื่อพี่ไป๋เฮ่อกล่าวว่า “เวลานี้กองกำลังแต่ละฝ่ายของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ต่างสงบศึกชั่วคราว กลุ่มอิทธิพลใหญ่ต่างบรรลุข้อตกลงเป็นการชั่วคราว”
“ฮ่องแต้องค์ใหม่คัดเลือกได้แล้ว? ” ผู้ที่ถูกเรียกว่าพี่อู๋กล่าวด้วยความตระหนกว่า “เป็นใครกันที่ได้ปกครองควบคุมอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ล่ะ? ” ราชวงศ์โต่วเซิ่นสูญเสียอำนาจ ใต้หล้าต่างแย่งชิงกัน นับแต่ฮ่องแต้องค์ใหม่ลงจากอำนาจกลายเป็นฮ่องแต้สิ้นชาติ ไม่รู้ว่ามีสำนักจำนวนเท่าไรที่แย่งชิงอำนาจของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการเป็นฮ่องแต้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่
“ยังไม่มีเป็นการชั่วคราว” พี่ไป๋เฮ่อส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวว่า “เรื่องการแย่งชิงอำนาจ สำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ได้ร่วมบรรลุข้อตกลงให้หยุดเอาไว้เป็นการชั่วคราว ขณะเดียวกันทางราชวงศ์โต่วเซิ่นก็จะมีการปรับใหม่ กระทั่งมีข่าวลือว่า สภาศักดิ์สิทธิ์อาจจะปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง”
“ผู้ยิ่งใหญ่แม้ตายแล้วก็ยังคงมีอิทธิพลอยู่” พี่อู๋ถึงกับตกในอย่างยิ่งเมื่อได้รับทราบข่าวเช่นนี้ พึมพำขึ้นว่า “ฮ่องแต้ไท่ชิงสวรรคต ฮ่องแต้อง์ใหม่หลบหนีเอาชีวิตรอด ราชวงศ์โต่วเซิ่นยังคงผงาดขึ้นมาได้ นับว่ายอดเยี่ยมเหลือเกิน”
ดังนั้น เขาจิ่วเหลียนซานในครั้งนี้มีความสำคัญยิ่ง” พี่ไป๋เฮ่อผู้นี้พูดเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้าหากสามารถพานพบสิ่งมหัศจรรย์จากการเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบล่ะก็ ไม่แน่นักอาจสามารถเปลี่ยนโฉมของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ก็ได้”
“โม้มากไปหน่อยแล้วกระมัง” พี่อู๋ถึงกับกล่าวด้วยความตื่นตระหนกตกใจเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้ขึ้นมาว่า “การเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบใช่จะเพิ่งเปลี่ยนเป็นครั้งแรก ในอดีตก็เคยเกิดขึ้นมาก่อน กระทั่งเป็นไปได้ที่ทุกคนกลับบ้านมือเปล่า การเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ไปได้ มันออกจะฝืนใจให้คล้อยตามมากเกินไปแล้วกระมัง”
“ไม่เป็นการฝืนใจให้คล้อยตามแม้แต่น้อย” พี่ไป๋เฮ่อผู้นี้ส่ายหน้า และกล่าวว่า “ยังไม่ต้องพูดถึงก่อนว่าการเปลี่ยนสีของทะเลสาบในครั้งนี้จะปรากฏสิ่งใดออกมา ลำพังอาศัยสถานการณ์ในขณะนี้ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ ก็เป็นสิ่งที่เทียบไม่ได้กับในอดีต ในอดีตนั้นฮ่องแต้ไท่ชิงเป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า ไม่ว่าเก้าทะเลสาบเปลี่ยนสีหรือไม่อย่างไรก็ทำอะไรไม่ได้…”
“…เวลานี้แตกต่าง สถานการณ์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่อ่อนแอยิ่งนัก ขอเพียงสะกิดให้เกิดประกายไฟขึ้นมาแม้แต่น้อย ก็มีความเป็นไปได้ที่จะก่อให้เกิดการเข่นฆ่าขึ้นมาเป็นการใหญ่ของสำนักที่มีอยู่ทั้งหมด ถึงเวลานั้น ท่านคิดว่าสามารถเปลี่ยนแปลงรูปแบบของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่ได้หรือไม่เล่า? ”
หลังจากพี่อู๋ผู้นี้ได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว ต้องผ่านไปครู่ใหญ่จึงได้สติกลับมา และพึมพำว่า “ที่พูดมาก็ถูก สถานการณ์ของใต้หล้าอ่อนแอถึงเพียงนี้ เพียงชนวนเส้นเดียวเท่านั้น เมื่อใดที่เก้าทะเลสาบเปลี่ยนสี และมีของดีปรากฎขึ้นมาจริงๆ เป็นความจริงที่สามารถก่อให้เกิดการต่อสู้ถึงที่สุด เมื่อถึงเวลานั้น เกรงว่าสำนักต่างๆ จำนวนนับไม่ถ้วนก็จะถูกดึงให้เข้าไปอยู่ท่ามกลางการเข่นฆ่าในครั้งนี้”
พี่อู๋ผู้นี้ถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งเมื่อนึกมาถึงตรงนี้
ในอดีต ฮ่องแต้ไท่ชิงปกครองทั่วหล้าแต่ผู้เดียว ปราศจากผู้ใดสั่นคลอน ต่อให้เก้าทะเลสาบเปลี่ยนสี ปรากฏสิ่งที่ยอดเยี่ยมอะไรขึ้นมา ทุกคนก็แค่แย่งชิงของวิเศษเพียงอย่างเดียวเท่านั้น
เวลานี้สถานการณ์ยุ่งเหยิง เมื่อใดที่มีการเปลี่ยนสีของเก้าทะเลสาบและปรากฏของดีขึ้นมา เมื่อถึงตอนนั้น สำนักต่างๆ ทั่วหล้าก็จะไม่ใช่ถูกดึงเข้าไปท่ามกลางการเข่นฆ่าเพียงแค่ต้องการแย่งชิงของวิเศษเท่านั้นแล้ว
จากการที่มีศิษย์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิจิ่วมี่เข้าพักอาศัยในเขาจิ่วเหลียนซานเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขาจิ่วเหลียนซานกลายเป็นคึกคักมากชึ้นๆ
จังหวะที่ผู้คนจำนวนไม่น้อยเข้าพักในเขาจิ่วเหลียนซานนั้น มีผู้บำเพ็ญตนผู้หนึ่งได้พูดกับพรรคพวกของตนด้วยท่าทีลึกลับยิ่งว่า “ข้าจะบอกเรื่องที่เป็นข่าวสะเทือนเลื่อนลั่นให้กับเจ้า”
“ข่าวสะเทือนเลื่อนลั่นอะไร ท่าทางลับๆ ล่อๆ ” พรรคพวกเห็นท่าทางที่ลึกลับของเขาแล้ว เอ่ยท่าทีไม่ใส่ใจขึ้นมา
ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ได้ลากเอาพรรคพวกของตนไปที่มุมๆ หนึ่ง มองซ้ายแลขวาปลอดคน จึงพูดเสียงแผ่วเบาขึ้นว่า “ข้าพบเรื่องใหญ่ที่สะเทือนเลื่อนลั่นเรื่องหนึ่ง”
“เรื่องอะไรที่ว่าเป็นเรื่องใหญ่สะเทือนเลื่อนลั่น? ” พรรคพวกก็รู้สึกตื่นตระหนกเมื่อเห็นท่าทางที่เข้มและหนักแน่นจริงจังเช่นนี้
“ข้าจะบอกเจ้า แต่เจ้าอย่าไปบอกคนอื่นอย่างเด็ดขาด” ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้เห็นว่าบริเวณนี้ไม่มีผู้คน จึงพูดเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าพบว่า ฮ่องแต้องค์ใหม่อยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซานนี่เอง”
เรื่องจริงเรื่องเท็จ…พรรคพวกพลันตกใจยิ่งนัก ร้องเสียงหลงขึ้นมาเมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้
ชี่ววว…ชี่ววว…ชี่ววว…ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ตกใจยิ่งนัก เมื่อเห็นพรรคพวกถึงกับกระ จึงดึงตัวเขาเอาไว้ทันที ใช้นิ้วทาบบนปากของเขาส่งสัญญาณให้เขาเบาเสียงหน่อย
ไม่ง่ายนัก กว่าพรรคพวกของเขาจะได้สติกลับมาจากการตกตะลึง มองดูผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ด้วยท่าทางตระหนกระคนกับความสงสัย รู้สึกใจหายใจคว่ำ พูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “เจ้า เจ้าคงไม่เดาสุ่มกระมัง ฮ่องแต้องค์ใหม่จะมาอยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซานได้อย่างไรกัน”
“จริงแท้แน่นอน” ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้รีบเอ่ยขึ้นมาว่า “ขณะที่ลงทะเบียนเพื่อเข้ามานั้น ข้าได้มองดูบันทึกแวบหนึ่ง มองเห็นบนสมุดบันทึกมีชื่อของฮ่องแต้องค์ใหม่พอดี เป็นเรื่องจริงแน่นอน”
“ไม่น่าเป็นไปได้กระมัง” พรรคพวกคนนี้เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง พูดเสียงแผ่วเบาว่า “คนจำนวนเท่าไรที่ตามหาฮ่องแต้องค์ใหม่อยู่แต่ก็ไม่พบตัว เขาจะมาอยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซานได้อย่างไรกัน? คงไม่มีใครปลอมตัวมานะ”
เมืองกัวชางเฉิงถูกตีแตก ยุคสมัยหนึ่งได้ล่มสลายลง นาทีนั้นฮ่องแต้องค์ใหม่ก็หายสาบสูญไปไม่รู้ว่าใครช่วยเหลือเขา หลังจากที่ฮ่องแต้องค์ใหม่หายสาบสูญไปแล้ว แม้ว่าเคยมีผู้คนจำนวนมากที่ตามหาฮ่องแต้องค์ใหม่ แม้ว่าจะมีคำเล่าลือต่างๆ นานา แต่ก็ไม่มีข่าวที่แน่นอน
เวลานี้จู่ๆ ฮ่องแต้องค์ใหม่ได้ปรากฏตัวขึ้นที่เขาจิ่วเหลียนซานอย่างกะทันหัน แล้วจะไม่ทำให้ผู้คนต้องตกใจได้อย่างไร ดีไม่ดีตระกูลปิงฉือ แคว้นว่านเจิ้น และสำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ก็ต้องส่งกองทัพเข้ามา ถ้าหากรู้ว่าฮ่องแต้องค์ใหม่อยู่ที่เขาจิ่วเหลียนซานนี่เอง
“การปลอมตัวเป็นฮ่องแต้องค์ใหม่หาใช่เป็นเรื่องสนุก มันเป็นเรื่องที่ต้องหัวหลุดออกจากบ่า” ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ส่ายหน้าและกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ใครกล้าปลอมตัว? ดีไม่ดีนอกจากตัวเองจะหัวหลุดจากบ่าแล้วยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนไปด้วย”
พรรคพวกของเขานึกดูแล้วก็จริง เวลานี้มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ต้องการเล่นงานฮ่องแต้องค์ใหม่ถึงตาย ใครจะกล้าเสี่ยงอันตรายถึงเพียงนี้ไปปลอมตัวเป็นฮ่องแต้องค์ใหม่ เว้นแต่มีคนที่เบื่อจะมีชีวิตอยู่แล้ว
“โอ้แม่เจ้า เขาจิ่วเหลียนซานไม่ปลอดภัยเสียแล้ว” พรรคพวกของเขาได้สติกลับมา ร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่งและกล่าวว่า “เมื่อไรที่พวกของตระกูลขุนนางโบราณปิงฉือ และพวกแคว้นว่านเจิ้นพบว่าฮ่องแต้องค์ใหม่อยู่ในเขาจิ่วเหลียนซานนี่เอง มิส่งกองทัพใหญ่มาประชุดทันทีรึ ถึงเวลานั้นเขาจิ่วเหลียนซานก็จะกลายเป็นสมรภูมิรบ ไฟสงครามลามไปทั่ว พวกเราก็จะพลอยฟ้าพลอยฝนไปด้วย เอาชีวิตไม่รอด”
“ไม่เป็นอย่างนั้นหรอก” ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้ส่ายหน้า และกล่าวว่า “อย่าลืมสิ ที่นี่คือเขาจิ่วเหลียนซาน ใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่าม? ไม่เคยมีใครกล้าทำอะไรบุ่มบ่ามในเขาจิ่วเหลียนซาน ขณะฮ่องเต้ไท่ชิงยังคงมีชีวิตอยู่นับว่าแข็งแกร่งพอ และไม่เคยเห็นใครอยู่ในสายตา มาถึงเขาจิ่วเหลียนซานแล้วยังต้องเก็บงำท่าทาที่เป็นใหญ่แต่ผู้เดียวใต้หล้า…”
“…เขาจิ่วเหลียนซานลึกล้ำยากจะหยั่งถึง ใครกล้าส่งทหารมาประชิด ก่อไฟสงครามขึ้นที่เขาจิ่วเหลียนซาน มันเป็นเรื่องที่ไม่ฉลาดอย่างยิ่งเอาเสียเลย เมื่อไรที่ทำให้เขาจิ่วเหลียนซานโกรธ ใครจะไปรู้ว่าจะมีผลอย่างไร”
ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้วิเคราะห์ได้ละเอียดมาก ละเอียดทุกขั้นตอน
“ที่พูดมาก็ถูก” พรรคพวกของเขาถูมือไปมา ถึงกับเกิดความสนใจเล็กๆ ขึ้นมา และกล่าวว่า “แหะ ฮ่องแต้องค์ใหม่อยู่ในเขาจิ่วเหลียนซานนี่เอง พวกเราไปดูสักหน่อย”
“มีอะไรน่าดู ก็แค่สวะคนหนึ่งเท่านั้นมิใช่รึ? ” ผู้บำเพ็ญตนผู้ที่ไม่รู้สึกสนใจ
“แม้ว่าฮ่องแต้องค์ใหม่เป็นสวะ แต่เขาคือฮ่องแต้องค์ใหม่นะเนี่ย มีค่าตัวที่เป็นหนึ่งไม่มีสอง” พรรคพวกของเขาถูมือไปมากล่าวด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า “แหะ ถ้าหากพวกเราลักพาตัวฮ่องแต้องค์ใหม่เสีย หรือไม่ก็คุมตัวเขากลับไปยังสำนัก แหะ ไม่ต้องพูดถึงว่าร่ำรวยเป็นเศรษฐี ไม่แน่นักอาจเป็นการสร้างผลงานใหญ่”
“เจ้าเสียสติไปแล้วรึ! ” ผู้บำเพ็ญตนผู้นี้หนึ่งฝ่ามือซัดเข้าให้ที่ศีรษะของเข้า และกล่าวว่า “เวลานี้ฮ่องแต้องค์ใหม่ก็คือรังแตน ใครไปเหย่รังแตนก็จะนำพาศัตรูมาเป็นจำนวนมาก หากไม่ทันระวังก็จะนำมาซึ่งหายนะ ถึงเวลานั้นแม้ชีวิตก็ยังเอาไม่รอด ดูซิว่าเจ้าจะสร้างผลงานได้อย่างไร”
“เอาเถอะ เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ได้แต่มองตาปริบๆ ปล่อยให้โอกาสทองหลุดจากมือไป” พรรคพวกของเขาพูดด้วยท่าทีจนด้วยเกล้า
แม้ว่าเขาเองก็คิดจะลักพาตัวฮ่องแต้องค์ใหม่ แต่ว่า เมื่อประเมินถึงกำลังของตนแล้ว ยังคงเลิกล้มความตั้งใจ
