จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2578
ตอนที่ 2578 จวนลั่ว
หลี่ชิเย่ยังคงรั้งอยู่ที่ซากปรักหักพังนั่น รอคอยการมาของความมืดที่อยู่ใต้ดิน เขารู้ว่าความมืดที่อยู่ใต้ดินจะไม่กบดานต่อไปอย่างเด็ดขาด มันจะต้องปรากฏตัวขึ้นมาอีกครั้งแน่นอน และสถานที่ที่จะปรากฎตัวขึ้นอีกครั้งต้องเป็นเมืองหมิงลั่วเฉิงอย่างแน่นอน
ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงนั่งรออย่างอดทนท่ามกลางซากปรักหักพังนั่น การนั่งอยู่ตรงนั้นแม้จะต้องนอนกลางดินกินกลางทรายก็ไม่ส่งผลกระทบต่อหลี่ชิเย่แม้แต่น้อย กล่าวสำหรับเขาแล้ว การรอคอยในลักษณะเช่นนี้ก็คล้ายเป็นการเดินเล่นในสวนหลังบ้านอย่างนั้น
สามวันผ่านไปอย่างรวดเร็ว มาวันนี้ ปรากฏเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบเสียงหนึ่งดังขึ้น ท่ามกลางเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบได้ยินเสียงเหนื่อยหอบเสียงหนึ่งด้วย
ขณะเสียงฝีเท้าที่เร่งรีบนี้ดังขึ้นมานั้น หลี่ชิเย่พลันลืมตาทั้งสองขึ้นอย่างกะทันหัน
เพียงครู่เดียว ร่างเงาสายหนึ่งบุกรุกเข้ามา จังหวะการก้าวเท้าโซซัดโซเซ เมื่อบุกมาถึงด้านหน้าของหลี่ชิเย่แล้วหมดแรงทั้งตัวและล้มลงกับพื้นทันที
“ช่วย ช่วยนิกายซูสือของพวกเรา” ล้มตัวลงนาน ผู้หญิงคนนี้สั่นเทานทีหนึ่ง ไม่มีแรงกระทั่งจะลุกขึ้นมา แต่ยังคงอาศัยกำลังค้ำยันร่างกายเอาไว้ และร้องกล่าวเสียงดังต่อหลี่ชิเย่
ผู้ที่ล้มตัวนอนอยู่ตรงหน้าหลี่ชิเย่ก็คือหลินยี่เสวี่ย หลินยี่เสวี่ยในขณะนี้บนร่างกายเต็มไปด้วยรอยเลือด และปรากฏบาดแผลบนตัว ดูจากสภาพแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าได้ผ่านการต่อสู้มาอย่างดุเดือด
หลี่ชิเย่ทอดถอนใจขึ้นเบาๆ เมื่อเห็นสภาพของหลินยี่เสวี่ย มือพลันทาบลงบนหน้าผากอย่างชำนาญ พลังสัจธรรมได้ทะลักเข้าไปในร่างของนาง
เมื่อหลินยี่เสวี่ยได้รับพลังจากหลี่ชิเย่แล้ว พลันทำให้นางมีกำลังวังชาขึ้น ภาพโดยรวมดุจดั่งผืนแผ่นดินคืนสู่ฤดุใบไม้ผลิอย่างนั้น พลันเปี่ยมด้วยพลังชีวิต เปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา ทั้งตัวดุจดั่งมีพลังที่ใช้ไม่รู้จักหมดอย่างนั้น บาดแผลบนร่างกายก็หายเป็นปรกติในชั่วพริบตาโดยไม่ต้องอาศัยยาสมานแผล
“คุณชาย โปรด โปรดช่วยนิกายซูสือของพวกเรา” เมื่อหายใจได้แล้วหลินยี่เสวี่ยรีบเร่งร้องขอต่อหลี่ชิเย่ ในเวลานี้นางเองก็อับจนหนทางแล้ว หลี่ชิเย่คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนางเท่านั้น
“เป็นอะไรไปรึ?” หลี่ชิเย่ยังคงนิ่งเฉย เหมือนน้ำที่ไร้คลื่น
“จวนลั่วปิดล้อมนิกายซูสือพวกเรา ต้องการบุกโจมตีล้อมปราบพวกเรา” หลินยี่เสวี่ยกล่าวด้วยท่าทีร้อนรนอย่างยิ่ง
“ล้อมปราบ?” หลี่ชิเย่หรี่ตาทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไรมาก
“อาจารย์ตัดสินใจอพยพไปนากเมืองหมิงลั่วเฉิง และเตรียมพาราษฎรส่วนหนึ่งไปด้วย ราษฎรส่วนหนึ่งในเมืองหมิงลั่วเฉิงเมื่อได้ยินว่าภัยพิบัติกำลังมาเยือน ยินดีที่จะติดตามพวกเราไปจาก แต่ทว่า ในเวลานี้เองพลันจวนลั่วได้เข้ามาล้อมพวกเราเอาไว้ บอกว่า พวกเราปล่อยข่าวลือสร้างความเข้าใจผิด…” เมื่อหลินยี่เสวี่ยเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้ว โทนเสียงดูจะต่ำลงมากทีเดียว
เนื่องจากก่อนหน้านี้นางเองก็เคยเอะอะโวยวายหาว่าหลี่ชิเย่ปล่อยข่าวลือสร้างความเข้าใจผิด เวลานี้ข้อหานี้กลับถูกจวนลั่วนำมาใช้กับนิกายซูสือของพวกเขา
ที่แท้ หลังจากที่หวูโหย่วเจิ้งตัดสินใจอพยพออกไปแล้ว ไม่เพียงจัดให้ศิษย์ทั้งหมดภายในสำนักได้อพยพเท่านั้น ขณะเดียวกันก็รณรงค์ให้ราษฎรภายในเมืองหมิงลั่วเฉิงได้อพยพไปด้วย
เดิมทีนิกายซูสือก็คือหนึ่งในสำนักใหญ่ที่มีอยู่เป็นจำนวนไม่มากในเมืองหมิงลั่วเฉิง กระทั่งในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น แน่นอน สิ่งนี้จำกัดอยู่แค่ภายในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเท่านั้น
ถ้าหากว่า ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ด้วยกำลังของจวนลั่วสามารถจัดให้อยู่ในอันดับหนึ่งล่ะก็ เช่นนั้นแล้วนิกายซูสือก็สามารถติดอันดับหนึ่งในห้า กระทั่งหนึ่งในสาม
ขณะที่ตัวของหวูโหย่วเจิ้งเองก็คือหนึ่งในระดับเทพแท้จริงขั้นสูงที่มีอยู่เพียงไม่กี่คนในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเท่านั้น
กล่าวได้ว่า หวูโหย่วเจิ้งก็นับเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงผู้หนึ่งในเมืองหมิงลั่วเฉิง ได้รับการให้ความเคารพและรักใคร่จากราษฎรในเมืองหมิงลั่วเฉิงอยู่เป็นจำนวนมาก ดังนั้น ภายใต้การรณรงค์ของหวูโหย่วเจิ้ง เมื่อได้ยินว่าเมืองหมิงลั่วเฉิงจะมีภัยพิบัติมาเยือน ขณะที่นิกายซูสือก็จะมีการอพยพไปทั้งหมด ดังนั้น ในเวลานั้นก็มีราษฎรจำนวนไม่น้อยที่ยินดีอพยพติดตามไปด้วย
เดิมทีทุกสิ่งทุกอย่างนับว่าราบรื่น ในเวลานี้เอง จวนลั่วพลันก่อการด้วยการนำกำลังทหารมาล้อมนิกายซูสือเอาไว้อย่างแน่นหนา ต้องการล้อมปราบนิกายซูสือ
เหตุผลที่ใช้ในการก่อการขึ้นมากะทันหันของจวนลั่วนั้นง่ายมาก นิกายซูสือปล่อยข่าวลือสร้างความเข้าใจผิด ปลุกระดมให้ราษฎรอพยพ ทำลายความมั่นคงของเมืองหมิงลั่วเฉิง สั่นคลอนรากฐานของเมืองหมิงลั่วเฉิง
การที่จวนลั่วก่อการขึ้นมากะทันหันนั้น เป็นความจริงที่ว่าเกรงจะเป็นการทำลายความมั่นคงของเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว ยังมีเหตุผลอื่นๆ อยู่อีกด้วย
จวนลั่วคือสำนักจัดตั้งที่แข็งแกร่งมากที่สุดของเมืองหมิงลั่วเฉิง กระทั่งในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ภาษิตว่าไว้ว่า เสือสองตัวอยู่ถ้ำเดียวกันไม่ได้ ในเมืองหมิงลั่วเฉิงที่มีนิกายซูสืออยู่ตลอดมานั้น ทางจวนลั่วมีความรู้สึกมาโดยตลอด
เพียงแต่นิกายซูสือนั้นมีรากฐานลึกซึ้ง การก่อตั้งเป็นสำนักในเมืองหมิงลั่วเฉิงมีมาก่อนและยาวนานกว่าจวนลั่วเสียอีก ได้รับการรักใคร่จากเหล่าราษฎร ขณะเดียวกัน ตัวของหวูโหย่วเจิ้งก็เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นสูง ซึ่งในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ระดับเทพแท้จริงขั้นสูงมีอยู่เพียงสามถึงห้าคนเท่านั้น
ดังนั้น ทางจวนลั่วก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามลงมือต่อนิกายซูสือ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุสังหารศัตรูพันคน ตนเองต้องสูญเสียแปดร้อย
มาคราวนี้กลับเปิดช่องให้กับจวนลั่ว และทำให้จวนลั่วมีเหตุผลที่จะส่งกำลังของตนไป ถือโอกาสที่นิกายซูสือกำลังชลมุนวุ่นวายเอง จวนลั่วจึงได้ก่อการกะทันหันเข้าล้อมนิกายซูสือเอาไว้ทันที หวังจะล้อมปราบนิกายซูสือให้สิ้นซาก
เดิมนิกายซูสือกำลังจะอพยพไปจาก จึงไม่มีการป้องกันแม้แต่น้อย การที่จวนลั่วก่อการขึ้นกะทันหัน ในขณะที่ศักยภาพของนิกายซูสือก็ไม่เท่าจวนลั่วเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อต้องรับศึกอย่างรีบเร่ง ไหนเลยที่นิกายซูสือจะเป็นคู่ต่อสู้ของจวนลั่วได้
หวูโหย่วเจิ้งนำศิษย์ของนิกายซูสือรบพลางล่าถอยพลาง สุดท้ายได้ถอยเข้าไปอยู่ในป้อมปราการที่แข็งแกร่ง ขณะที่กำลังทหารของจวนลั่วได้ทำการล้อมป้อมปราการเอาไว้จนกระทั่งน้ำยังเล็ดลอดไปไม่ได้ ท่าทีเหมือนต้องการโค่นล้มทำลายศัตรูให้ราบคาบ มีแนวคิดที่จะทำลายล้างนิกายซูสือ
หวูโหย่วเจิ้งรู้สึกสิ้นหวังเมื่อถูกล้อมปิดตายให้อยู่ในป้อมปราการ ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าไม่สามารถอพยพได้สำเร็จก็ต้องมาพบกับภัยที่ไม่คาดฝัน ภายใต้ปราศจากความช่วยเหลือทำให้หวูโหย่วเจิ้งนึกถึงหลี่ชิเย่ขึ้นมา
ถ้าหากนาทีนี้หลี่ชิเย่สามารถลงมือเข้าช่วยเหลือ นิกายซูสือพวกเขาก็ต้องมีหวัง
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์จนตรอกทุกอย่าง หวูโหย่วเจิ้งจึงส่งหลินยี่เสวี่ยออกไป พวกเขาได้ตีฝ่าวงล้อมหลายครั้ง ในที่สุดก็สามารถส่งตัวหลินยี่เสวี่ยออกไปได้ ให้หลินยี่เสวี่ยไปขอความช่วยเหลือต่อหลี่ชิเย่
เมื่อหลี่ชิเย่ได้ฟังคำบอกเล่าของหลินยี่เสวี่ยแล้วมองดูหลินยี่เสวี่ยทีหนึ่ง ยังคงมีท่าทีสงบนิ่งและสบายอกสบายใจ
“ขอท่านได้โปรดช่วยนิกายซูสือพวกเราด้วย…” เมื่อหลินยี่เสวี่ยมองเห็นหลี่ชิเย่ยังคงมีท่าทีนิ่งเฉย นางถึงกับร้องไห้ขึ้นมา เวลานี้หลี่ชิเย่คือความหวังเพียงหนึ่งเดียวของนางแล้ว ถ้าหากแม้แต่หลี่ชิเย่ก็ไม่ยอมช่วยล่ะก็ นางก็ต้องสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิงแล้ว นิกายซูสือของพวกเขาไม่ล่มสลายคงไม่ได้แล้ว
หลี่ชิเย่ที่มองเห็นหลินยี่เสวี่ยร้องไห้จนน้ำตานองหน้าถึงกับทอดถอนใจเบาๆ ได้แต่พยักหน้าและกล่าวว่า “ไปเถอะ”
“จริงหรือ…” หลินยี่เสวี่ยรู้สึกดีใจอย่างยิ่งเมื่อได้ยินคำตอบรับของหลี่ชิเย่ นางยังไม่ทันได้สติกลับมาร่างของนางก็เหินฟ้าขึ้นไปเมื่อถูกหลี่ชิเย่พาตัวให้เหินฟ้าไปด้วย
ในสายตาของผู้อื่น เมืองหมิงลั่วเฉิงเป็นเมืองที่มีขนาดใหญ่มาก ในสายตาของหลี่ชิเย่มันก็แค่ห่างกันก้าวเดียวเท่านั้นเอง ดังนั้น เมื่อหลี่ชิเย่นำพาหลินยี่เสวี่ยก้าวไปก้าวเดียวก็ไปถึงที่เกิดเหตุแล้ว
ขณะนี้ นิกายซูสือคงเหลือเพียงป้อมปราการเพียงแห่งเดียวแห่งสุดท้ายที่ยังไม่ได้เสียแก่ศัตรู ในเวลานี้ป้อมปราการทั้งหลังถูกศิษย์ของจวนลั่วปิดล้อมเอาไว้อย่างแน่นหนา
ที่ทำการปิดล้อมป้อมปราการมีจำนวนหลายพันคน ทั้งหมดสวมชุดเกราะสีดำ ชุดเกราะสีดำได้เปล่งประกายสีดำออกมาท่ามกลางแสงตะวัน ศิษย์จำนวนหลายพันคนที่สวมชุดเกราะสีดำถืออาวุธที่ส่งประกายเยือกเย็นวูบวาบในมือทุกคน เข้มด้วยปณิธานการฆ่า ภาพเช่นนี้ทำให้ผู้ชมที่อยู่ข้างๆ ถึงกับสั่นเทิ้มทีหนึ่ง รู้สึกหวาดกลัวจนขนลุกซู่ในใจ
นี่คือกองทัพที่ยอดเยี่ยมที่สุดของจวนลั่วแล้ว มาครั้งนี้เพื่อต้องการทำลายนิกายซูสือ เรียกได้ว่าจวนลั่วถึงกับโยกกำลังทหารที่ยอดเยี่ยมที่สุดมา
“เกรงว่านิกายซูสือจะจบสิ้นแล้ว” มีผู้บำเพ็ญตนที่ยืนดูอยู่ในที่ที่ห่างไกลพูดเสียงแผ่วเบาขึ้นมา เมื่อมองเห็นภาพที่อยู่ตรงหน้า
“มาคราวนี้มีหยางถิงอวี่มาบัญชาการด้วยตนเองนะเนี่ย” ผู้บำเพ็ญตนอีกคนพูดเสียงแผ่วเบาว่า “มีเพียงเขาลงมือ ถึงจะปราบเจ้านิกายหวูได้ แต่ว่า เจ้านิกายหวูก็นับว่าแข็งแกร่งมากแล้ว สามารถต้านเคล็ดวิชาราชันแท้จริงของหยางถิงอวี่ได้โดยไม่เสียชีวิต นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว”
“ชวี่ววว ต้องเรียกเจ้าจวนหยาง เรียกชื่อตรงๆ ไม่ได้” พรรคพวกผู้บำเพ็ญตนผู้นี้จึงกล่าวเตือนทันที
“ช้าหรือเร็วเจ้าจวนหยางก็ต้องรวบรวมระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นให้เป็นปึกแผ่นอยู่แล้ว” ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสผู้หนึ่งเอ่ยเสียงแผ่วเบาขึ้นมาว่า “จะอย่างไรเสียเขาก็คือศิษย์ของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ในฐานะกลุ่มคนรุ่นใหม่ ไม่สิ ในฐานะที่เป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น เขาจะนำพาจวนลั่วรวบรวมระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นเป็นปึกแผ่นก็ถือเป็นเรื่องปรกติ”
“นั่นเป็นเพียงศิษย์ในนามเท่านั้นเอง” ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสอีกผู้หนึ่งรู้สึกไม่ค่อยพอใจ กระซิบขึ้นมาคำหนึ่ง
“ต่อให้เป็นเพียงศิษย์ในนามก็ยังเป็นศิษย์” ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสผู้นี้กล่าวว่า “ลำพังแค่ศิษย์ของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน ชื่อนี้ก็เพียงพอที่จะสยบทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นแล้ว ใครกล้าพูดคำที่สองออกมา?”
ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสที่ไม่พอใจเมื่อครู่อดที่จะนิ่งเงียบไม่ได้ เมื่อได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว
หยางถิงอวี่หรือก็คือเจ้าสำนักของจวนลั่วคนปัจจุบัน ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น และแน่นอนที่สุด เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งกลุ่มคนรุ่นใหม่ กระทั่งทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น
แม้ว่าหยางถิงอวี่จะมีอายุอ่อนเยาว์มาก แต่เขาก็คือระดับเทพแท้จริงขั้นสูงแล้ว สิ่งนี้นับเป็นผลสำเร็จที่ยอดเยี่ยมอย่างยิ่ง
สมควรทราบว่า ทั่วทั้งระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น ระดับเทพแท้จริงขั้นสูงคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะแข็งแกร่งที่สุดแล้ว อีกทั้งกผู้ที่ก้าวถึงระดับเทพแท้จริงขั้นสูงในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นมีอยู่ไม่กี่คนเท่านั้นแค่สามถึงห้าคนไม่เกิน ซึ่งหวูโหย่วเจิ้งก็คือหนึ่งในจำนวนนั้น
แต่ทว่า ระดับเทพแท้จริงขั้นสูงคนอื่นๆ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้ที่เรียกว่าเป็นผู้เฒ่าที่เป็นไม้ใกล้ฝั่งแล้วทั้งสิ้น มีเพียงหยางถิงอวี่เท่านั้นที่ได้เป็นระดับเทพแท้จริงขั้นสูงตั้งแต่อายุยังน้อย กล่าวได้ว่าเป็นคนหนุ่มไฟแรง เป็นอัจฉริยะบุคคลที่ยอดเยี่ยมที่สุดของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น
สิ่งนี้ยังไม่ใช่สิ่งที่น่าตกใจและยอดเยี่ยมที่สุด ที่ยอดเยี่ยมที่สุดของหยางถิงอวี่ก็คือตำแหน่งของเขานั่นก็คือศิษย์ในนามของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน!
ที่แท้ หยางถิงอวี่เคยท่องเที่ยวอยู่ภายนอก แล้วได้รับการชื่นชมจากราชันแท้จริงมู่เจี้ยน และเคยชี้แนะเขามาบ้าง แม้ว่าราชันแท้จริงมู่เจี้ยนไม่ได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาใดๆ ให้กับเขาก็ตาม แต่ก็นับว่าเป็นศิษย์ในนามคนหนึ่ง และราชันแท้จริงมู่เจี้ยนเองก็ให้การยอมรับในฐานะของเขากรายๆ
ศิษย์ในนามของราชันแท้จริงแห่งยุค อีกทั้งยังไม่ได้เป็นการคุยโวเอง เป็นของแท้แน่จริง เคยได้รับการชี้แนะจากราชันแท้จริงมู่เจี้ยนด้วยตนเอง ผลงานเช่นนี้เมื่ออยู่ในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น เพียงพอที่จะให้หยางถิงอวี่คุยโวได้ชั่วชีวิตได้แล้ว
จะอย่างไรเสีย กล่าวสำหรับ ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นทั้งหมดแล้ว ราชันแท้จริงคือผู้ดำรงอยู่ในฐานะที่สูงสุด ไม่ว่าผู้ใดในระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นก็ต้องกราบไหว้ การที่สามารถพบเห็นราชันแท้จริงสักครั้ง ล้วนแล้วแต่เป็นเกียรติยศที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตแล้ว
ขณะที่หยางถิงอวี่เคยเป็นศิษย์ในนามของราชันแท้จริงมู่เจี้ยน สิ่งนี้ช่างเป็นผลงานที่ยอดเยี่ยมอะไรอย่างนั้น
ดังนั้น หยางถิงอวี่แม้อายุยังน้อยก็ดูจะมีท่าทีเป็นผู้นำของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นลางๆ แล้ว แม้ว่าในบรรดาระดับเทพแท้จริงขั้นสูงของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น หยางถิงอวี่จะไม่ใช่ผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุด แต่ทุกคนก็ยกย่องให้เขาเป็นยอดฝีมืออันดับหนึ่งของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่น
ขณะที่ตัวหยางถิงอวี่เองก็มีความทะเยอทะยานค่อนข้างมาก ต้องการรวบรวมระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นให้เป็นปึกแผ่น ย่อมไม่ต้องสงสัย การปราบทำลายล้างนิกายซูสือในวันนี้ ก็คือทำไปเพื่อก้าวแรกที่สำคัญของการสร้างคุณูปการอันเกริกก้องของเขา