จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2584
ตอนที่ 2584 อยู่ที่นี่
หลังจากที่หวูโหย่วเจิ้งพาหลินยี่เสวี่ยกลับมาแล้ว ได้มากราบขอบคุณด้วยการโขกศีรษะให้กับหลี่ชิเย่เป็นพิเศษ
“ของบางอย่าง ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป กิจการพื้นฐานบรรพบุรุษก็ไม่แน่เสมอไปว่าจะรักษาเอาไว้ได้ หากมีความสามารถจริง ทำลายแล้วตั้งขึ้นมาใหม่ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวเลย” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเฉยเมย
หวูโหย่วเจิ้งอดหัวเราะแห้งๆ ไม่ได้ รู้สึกละอาย และกล่าวว่า “ไม่เกรว่าคุณชายจะหัวเราะเยาะ ข้า ข้า ข้ายังจะมีความสามารถสร้างกิจการพื้นฐานเช่นนี้ของบรรพชนขึ้นมาได้อีก ข้า ข้าก็แค่หวังว่าเผื่อฟลุ๊คเท่านั้นเอง คาดหวังว่าจะผ่านเคราะห์กรรมนี้ไปได้ กิจการพื้นฐานของบรรพบุรุษยังคงอยู่”
ครั้นหวูโหย่วเจิ้งเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วได้ทอดถอนใจขึ้นมาเบาๆ และกล่าวว่า “ข้าอายุปูนนี้แล้ว ช้าหรือเร็วก็ต้องกลับกลายเป็นดิน ถือโอกาสที่ยังมีลมหายใจอยู่ทำประโยชน์ให้กับชนรุ่นหลังสักนิด ดูว่าจะรักษากิจการพื้นฐานนี้เอาไว้ได้หรือไม่ ถ้าหากรักษาไม่ได้ ข้าเองก็ไม่มีอะไรต้องเสียใจอีกแล้ว…”
“…อีกอย่าง ถ้าหากสามารถตายอยู่ในบ้านของตนเองก็ไม่เสียใจอีกแล้ว สิ่งนี้ก็จะเป็นที่พักพิงสุดท้ายที่ดีที่สุดของข้า ข้าอยู่ที่นี่มาชั่วชีวิต สุดท้ายแล้วยังคงสามารถฝังอยู่ที่นี่ก็นับว่าชีวิตนี้สมบูรณ์แบบแล้ว” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้แล้วอดที่จะหัวเราะอย่างขมขื่น
ยามที่คนผู้หนึ่งต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน สามารถนำกระดูกมาฝังเอาไว้ในบ้านเกิด กลับจะกลายเป็นความฟุ่มเฟือยอย่างหนึ่ง
หลี่ชิเย่เพียงนั่งขัดสมาธิอยู่ตรงนั้น และไม่ได้พูดอะไรออกมา
“เพียงแต่เด็กคนนี้รั้นมาก” หวูโหย่วเจิ้งจ้องมองดูหลินยี่เสวี่ย ดูจะจนด้วยเกล้า หัวเราะเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ข้าไม่ให้นางกลับมา แต่นางจะตามกลับมาให้ได้ นี่คือการตามข้ากลับมารนหาที่ตาย”
“อาจารย์…” หลินยี่เสวี่ยก้มหน้าและกล่าวว่า “ที่ ที่นี่ก็คือบ้านของข้านะ ข้า ข้า ข้าอยากจะรั้งอยู่ที่นี่ ถ้าหากข้าต้องตายอยู่ที่ตรงนี้ ข้า ข้า ข้าก็ไม่มีอะไรจะต้องกลัว”
“เด็กโง่ เจ้าอายุยังน้อย” หวูโหย่วเจิ้งส่ายหน้าเบาๆ และกล่าวท่าทางจนด้วยเกล้าว่า “อนาคตยังคงเต็มไปด้วยสิ่งที่ไม่รู้และโอกาส”
หลินยี่เสวี่ยก้มหน้าไม่พูดไม่จา นางคือผู้ที่มีนิสัยดื้อรั้น เมื่อไรที่รั้นขึ้นมา ต่อให้ใช้วัวเก้าตัวก็ฉุดไม่กลับ
“เมืองหมิงลั่วเฉิงในเวลานี้หาใช่เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเจ้าอีกแล้ว” หลี่ชิเย่มองหน้าพวกเขาด้วยท่าทีเรียบเฉยทีนึ่ง กล่าวท่าทีเฉยเมยว่า “พวกเจ้าคิดจะเฝ้ารักษากิจการพื้นฐานของบรรพบุรุษ ยังคงช่างเถอะ มันเป็นการรนหาที่ตายเท่านั้น ถ้าหากมีผู้ต้องการจะได้ พวกเขาแค่ยื่นนิ้วมือนิ้วเดียวก็สามารถสังหารพวกเจ้าได้แล้ว”
หวูโหย่วเจิ้งอ้าปากจะพูด สุดท้ายเขาได้แต่ยิ้มเจื่อนๆ เขาเองก็เข้าใจ สิ่งที่หลี่ชิเย่พูดนั้นเป็นความจริง
ความจริงแล้ว ขณะที่เพิ่งกลับมาถึง หวูโหย่วเจิ้งก็รู้สึกตกใจยิ่งนัก เขายังเข้าใจว่าตนเองนั้นมาผิดที่ เมืองหมิงลั่วเฉิงกลับกลายเป็นคึกคักถึงเพียงนี้ มีระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิของสำนักเจ้าลัทธิต่างๆ ปรากฏตัวขึ้นที่เมืองหมิงลั่วเฉิง ทำเอาหวูโหย่วเจิ้งรู้สึกงงงันไปทันที
โดยเฉพาะได้เห็นยอดฝีมือจำนวนมากมายเช่นนี้เข้าออกเมืองหมิงลั่วเฉิง อีกทั้งบรรดายอดฝีมือเหล่านี้มักจะเริ่มต้นที่ระดับเทพแท้จริงเป็นอย่างน้อย ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เป็นเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ สิ่งนี้พลันทำให้หวูโหย่วเจิ้ง รู้สึกขนลุกซู่ในใจ กระทั่งขนหัวลุก
ถ้าหากยอดฝีมือเหล่านี้ต้องการยึดครองกิจการพื้นฐานของบรรพบุรุษพวกเขาโดยใช้กำลัง หาใช่เป็นเรื่องยากเย็นอะไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งบรรดาระดับเทพแท้จริงขั้นขึ้นสู่สวรรค์ของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิที่แข็งแกร่งหากลงมือเมื่อไร การจะสังหารเขาย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
“รั้งอยู่ที่นี่ชั่วคราวก็แล้วกัน ออกไปก็ไปรนหาที่ตาย” หลี่ชิเย่มองหน้าพวกเขาที่เป็นอาจารย์และศิษย์ กล่าวขึ้นมาเรียบเฉย
ทั้งหวูโหย่วเจิ้งและหลินยี่เสวี่ยถึงกับตะลึงนิดหนึ่ง พวกเขาไม่นึกไม่ฝันเลยว่าหลี่ชิเย่จะรับพวกเขาเอาไว้ จะอย่างไรเสียพวกเขากับหลี่ชิเย่ใช่ญาติหรือมิตร คราวก่อนสามารลงมือช่วยนิกายซูสือของพวกเขา ถือว่าเป็นความกรุณาอย่างยิ่งแล้ว
“ขอบคุณคุณชาย…” เมื่อหวูโหย่วเจิ้งศิษย์และอาจารย์ได้สติกลับมา รีบก้มกราบเป็นการใหญ่ โดยเฉพาะหลินยี่เสวี่ยนั้นยิ่งรู้สึกดีใจอย่างยิ่งในใจ อดที่จะแอบเหลือบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง แต่ก็ไม่กล้าจ้องมองมาก หลังจากแอบมองแวบหนึ่งก็รีบละสายตากลับมา และก้มหน้าลง
แม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม ไม่ต้องพูดถึงว่าภายในใจของหลินยี่เสวี่ยดีใจเช่นใด การได้รั้งอยู่ที่นี่ต่อให้ต้องนอนกลางดินกินกลางทราย ภายในใจของเขาก็ยังคงเบิกบานใจเหมือนเดิม
แน่นอน หวูโหย่วเจิ้งสองศิษย์อาจารย์ไม่ได้นอนกลางดินกินกลางทรายอยู่ที่ตรงนี้ ท้ายที่สุดแล้ว พวกเขาศิษย์อาจารย์ยังคงลงมือสร้างบ้านไม้หลังเล็กๆ ขึ้นมาด้วยตนเอง ถือเป็นสถานที่พักพิงชั่วคราวของพวกเขาทั้งสามคน
แน่นอน กล่าวสำหรับหลี่ชิเย่แล้ว จะมีที่พักหรือไม่ก็ไม่แตกต่าง ถ้าหากเขาอยากได้ แค่ยกมือตามอารมณ์ก็สามารถผลักภูผาคว้าจันทรา หอคอยวิหารโบราณสามารถผุดขึ้นมาได้ทุกเวลา
ถึงแม้ว่ามันเป็นเพียงบ้านไม้หลังเล็กธรรมดาๆ เท่านั้น หลินยี่เสวี่ยยังคงดีใจอย่างยิ่ง จัดการเก็บกวาดจนสะอาดหมดจด หน้าต่างสะอาดเรี่ยม อาศัยหญ้าและดอกไม้มาประดับประดาจนและดูเปี่ยมด้วยความมีชีวิตชีวา
“คุณชาย เพราะอะไรจึงมีระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิสำนักเจ้าลัทธิมาที่เมืองหมิงลั่วเฉิงเป็นจำนวนมาก?” หลังจากเข้าไปภายในบ้านไม้หลังเล็กแล้ว หวูโหย่วเจิ้งให้รู้สึกแปลกใจ อดที่จะเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้
หลังจากที่ได้สัมผัสมา หวูโหย่วเจิ้งพบว่า ความจริงแล้วแล้วหลี่ชิเย่เป็นผู้ที่สามารถพูดคุยกันได้ด้วยดี แม้ว่าการลงมือของเขาจะทระนงไร้ซึ่งความปราณี แต่สามารถเข้ากับคนได้ง่าย
“หรือจะเป็นความจริงว่ามีขุมทรัพย์จะปรากฏออกมาจริงๆ?” ขณะที่หวูโหย่วเจิ้งกลับเข้าเมืองก็ได้ยินคำเล่าลือเช่นนี้ กระทั่งได้เห็นผู้บำเพ็ญตนในพื้นที่จำนวนไม่น้อยกำลังขุดหาอยู่ภายในเขตพื้นที่ของตน
“ขุมทรัพย์ เจ้าคิดว่าที่ตรงนี้มีขุมทรัพย์หรือไม่?” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉย
“เรื่องนี้…” หวูโหย่วเจิ้งตรึกตรองนิดหนึ่ง ยิ้มเจื่อนๆ และกล่าวว่า “ถ้าหากในเมืองหมิงลั่วเฉิงพวกเรามีขุมทรัพย์จริง เกรงว่าคงไม่ได้เหลือไว้ให้พวกเรา คงถูกคนยุคก่อนๆ ฉกฉวยไปนานแล้ว”
ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นเสื่อมมานานมากแล้ว เรียกได้ว่าผู้คนหลายยุคก่อนก็ยากจนกันจนจะคลั่งกันไปหมดแล้ว เคยมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนขุดหาในเมืองหมิงลั่วเฉิงมานานมากแล้ว หากมีของที่มีราคาล่ะก็คงถูกนำติดตัวไปนานแล้ว ยังจะเหลือไว้ให้คนรุ่นหลังอย่างพวกเขาอีกรึ?
ด้วยเหตุนี้ สุดยอดเคล็ดวิชา หรืออาวุธศักดิ์สิทธิ์ปราศจากผู้ต่อกรของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นจึงได้สูญหายไปทีละอย่างๆ เนื่องจากในอดีตบรรดาแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากหนีออกไปจากระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่น หากไม่ใช่นำเอาของเหล่านี้ติดตัวไปด้วยก็คงประมูลขายออกไปแล้ว เพื่อแลกกับปัจจัยต่างๆ แล้วหนีไปจากที่ตรงนี้
กล่าวได้ว่า หลังจากที่บรรดาแคว้นเจ้าลัทธิหนีไปแล้ว ทิ้งไว้แต่เพียงผืนแผ่นดินที่แห้งแล้งกันดาลให้กับพวกที่ไม่สามารถหนีไปไหนได้เหล่านั้น
“แต่ว่า ของบางสิ่งก็ใช่ว่าคิดอยากจะเอาไปก็สามารถเอาไปได้” หลี่ชิเย่ยิ้มเฉยเมย
“หรือจะเป็นต้นกำเนิดสัจธรรม…” เมื่อหวูโหย่วเจิ้งได้สติกลับมาถึงกับตกใจ จะอย่างไรเสียเขาก็คือยอดฝีมือที่อยู่ในระดับสูงซึ่งมีอยู่ไม่มากในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นทุกวันนี้ จึงรู้อะไรมากกว่า
“พวกเรายังมีต้นกำเนิดสัจธรรมอยู่รึ?” หลินยี่เสวี่ยถึงกับตะลึงงันเมื่อได้ยินคำพูดของผู้เป็นอาจารย์ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเขาตกต่ำมาจนถึงขั้นนี้แล้ว เกรงว่าต้นกำเนิดสัจธรรมคงแห้งเหือดไปนานแล้ว และหายไปนานแล้ว
“มี…” หวูโหย่วเจิ้งพยักหน้าหนักแน่นและกล่าวจริงจังว่า “พวกเรายังมีต้นกำเนิดสัจธรรมอยู่ เพียงแต่พวกเราไม่รู้ว่ามันอยู่ที่ตรงไหนเท่านั้นเอง ข้าเคยศึกษาค้นคว้าร่วมกับเทพแท้จริงหลายคน เสียดายทำไม่สำเร็จตลอดมา ถ้าหากพวกเราไม่มีต้นกำเนิดสัจธรรมก็แตกละเอียดไปนานแล้ว อย่างไรก็ตาม แม้ว่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิของพวกเราจะตกต่ำลง แต่ก็คาอยู่ที่แดนลัทธิราชันมาตลอดไม่ได้ตกลงไป ดังนั้น เป็นการบ่งบอกว่าต้นกำเนิดสัจธรรมยังคงอยู่ เสียดาย พวกเราก็ค้นหาต้นกำเนิดสัจธรรมไม่พบ”
จะอย่างไรเสียหวูโหย่วเจิ้งก็คือระดับเทพแท้จริงที่แข็งแกร่งที่สุดของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นแล้ว ดังนั้น พวกเขาก็เคยศึกษาค้นคว้ามาก่อน และต้องการทำความกระจ่างถึงความลึกซึ้งยอดเยี่ยมที่อยู่ภายใน เสียดาย ทำไม่สำเร็จมาโดยตลอด
“แม้ไม่ใช่ต้นกำเนิดสัจธรรม แต่ ก็มีส่วนเกี่ยวพันอย่างมากทีเดียว” หลี่ชิเย่กล่าวและพยักหน้าเบาๆ
“คุณชายก็มาด้วยเรื่องนี้?” หวูโหย่วเจิ้งหลุดปากพูดออกมา และกล่าวว่า “ไม่ถูก คุณชายมาด้วยเรื่องของความชั่วร้ายที่อยู่ใต้ดินนั้น…” ครั้นเอ่ยมาถึงตรงนี้ เขาถึงกับหัวเราะแห้งๆ ทีหนึ่ง
เนื่องจากก่อนหน้านั้นหลี่ชิเย่เคยบอกว่าติดตาสิ่งชั่วร้ายมา ถ้าหากเวลานี้บอกว่าหลี่ชิเย่มาด้วยเรื่องของของวิเศษ ดูเหมือนจะเป็นการไม่ให้ความเคารพต่อหลี่ชิเย่ เขาจึงรีบเปลี่ยนคำพูด
“เรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะพูดไม่ได้” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “เป็นความจริงที่ข้าติดตามสิ่งชั่วร้ายมาถึงที่นี่ แต่ก็มาด้วยของสิ่งนี้เหมือนกัน”
ท่าทางดูจะ เก้อเขินยิ่งหวูโหย่วเจิ้งหัวเราะเจื่อนๆ นัก
“นี่เป็นสุดยอดของวิเศษชิ้นหนึ่งอย่างนั้นรึ?” หลินยี่เสวี่ยก็รู้สึกอยากรู้อยากเห็น เงยหน้าขึ้นแอบมองหลี่ชิเย่ทีหนึ่ง
“ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าคิดอย่างไร มันก็คือสิ่งที่สามารถนำพาความหายนะมาได้เช่นกัน” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “มิฉะนั้นล่ะก็ ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเจ้าทำไมถึงตกต่ำลงภายในชั่วข้ามคืน ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เพราะอะไรต้นกำเนิดสัจธรรมพวกเจ้ายังคงอยู่ แต่ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิกลับแห้งเหือด”
“สิ่งชั่วร้ายก็มาด้วยของสิ่งนี้?” หวูโหย่วเจิ้งถึงกับร้องเสียงหลงขึ้นมา จากนั้นสะดุ้งในใจ และกล่าวว่า “ไม่ถูก ควรจะพูดว่า เจ้าสิ่งชั่วร้ายนี้มาตั้งนานแล้ว บางทีอาจเป็นสาเหตุที่ทำให้ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นพวกเราเสื่อมลง นับแต่ครั้งนั้นเป็นต้นมา สิ่งชั่วร้ายนี้ก็อาละวาดอยู่แล้ว และแรกเริ่มทีเดียวเจ้าสิ่งชั่วร้ายก็มาด้วยสิ่งนี้”
หวูโหย่วเจิ้งเคยศึกษาวิเคราะห์เรื่องนี้มาก่อน เวลานี้ได้รับการชี้แนะจากหลี่ชิเย่พลันทำให้เขาเข้าใจในความลับที่ซ่อนอยู่ และทะลุปรุโปร่งในทันที
“จะพูดแบบนี้ก็ได้” หลี่ชิเย่ พยักหน้าเบาๆ
หวูโหย่วเจิ้งได้สติกลับมาอดที่จะถามขึ้นมาว่า “คุณชายสามารถกำจัดสิ่งชั่วร้ายนี้ได้?”
“สิ่งชั่วร้ายนี้หากไม่กำจัดก็จะเป็นปัญหาใหญ่แล้วล่ะ” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉยว่า “เมื่อถึงเวลานั้นแล้ว ไม่เพียงแต่ระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิสือยวิ่นพวกเจ้า เกรงว่าจะเป็นปัญหาใหญ่ทั่วทั้งแดนลัทธิราชัน”
“น่ากลัวขนาดนี้รึ?” เมื่อหวูโหย่วเจิ้งได้ยินคำพูดเช่นนี้แล้ว ถึงกับหวาดผวาจนขนลุกซู่
“สิ่งนี้ไม่ใช่ของโลกใบนี้” หลี่ชิเย่ถึงกับมองไปยังที่ที่ห่างไกล เพ่งสายตาไปข้างหน้า
“หากสิ่งชั่วร้ายถูกกำจัด…” หวูโหย่วเจิ้งเหม่อลอย และพึมพำขึ้นมา ร่างของเขาสั่นเทิ้มทีหนึ่ง และพูดเสียงหลงออกมาว่า “หากเจ้าสิ่งชั่วร้ายถูกกำจัด นั่น นั่น นั่น นั่นต้นกำเนิดสัจธรรมระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเรามิเท่ากับสามารถฟื้นคืน?”
เมื่อหวูโหย่วเจิ้งนึกถึงความน่าจะเป็นเช่นนี้แล้ว ถึงกับดีใจอย่างยิ่งในใจ จะอย่างไรเสียสิ่งนี้กล่าวสำหรับระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นพวกเขาแล้ว มันคือข่าวที่ดีที่สุดในโลก
“ถ้าหากกำจัดไปได้ ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเจ้าก็จะบังเกิดความมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง สัจธรรมน่าเกรงขาม และจะได้ต้อนรับบรรยากาศใหม่” หลี่ชิเย่กล่าวท่าทีเรียบเฉยว่า “จะมีความเจริญรุ่งเรืองที่ยิ่งใหญ่”
“หากเป็นเช่นนี้จริง” หวูโหย่วเจิ้งเข้าใจแล้ว ดีใจยิ่งนัก คุกเข่ากราบกับพื้น และกล่าวว่า “คุณชายกำจัดสิ่งชั่วร้ายนี้ไป ก็คือผู้มีพระคุณของระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นทุกชาติไป ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นจะจัดทำป้ายบูชาขอพรเทพเจ้า ระลึกถึงผู้มีพระคุณตลอดทุกชาติไป”
“ยังไม่ต้องรีบร้อนขอบคุณข้า” หลี่ชิเย่นั่งอยู่ตรงนั้น กล่าวเรียบเฉยว่า “ดีไม่ดี นั่นมันจะทำให้ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นของพวกเจ้าหายวับไปกับตาในชั่วพริบตาเดียว หนึ่งการโจมตีที่สะเทือนเลื่อนลั่นกระทั่งสามารถโจมตีระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นจนแหลกละเอียดไปได้”
คำพูดนี้พลันเหมือนเอาน้ำเย็นราดลงบนหัวของหวูโหย่วเจิ้ง แต่ว่า เมื่อเขาได้สติกลับมาแล้วยังคงกราบอย่างจริงจัง และกล่าวว่า “แต่ว่า อย่างน้อยที่สุดสิ่งนี้ก็คือความหวัง การที่ระบบถ่ายทอดทางด้านลัทธิสือยวิ่นยังคงเป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ ก็ยากจะหลีกหนีความตายไปได้ สักวันก็ต้องแตกสลายและตายไปในที่สุด”
“นับว่าเจ้ามองโลกในแง่ดีนัก” หลี่ชิเย่ยิ้มกล่าวเรียบเฉย
……………………………………………..