จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2590
ตอนที่ 2590 สิบวัชระ
ในเวลานี้ ไม่เพียงบรรดายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนที่อยู่ในเหตุการณ์ถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหว แม้แต่ศิษย์ของฉางจินต้งก็ถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหวเช่นกัน เมื่อกองเรือคุ้มกันถูกทำลายไปทั้งหมด
สมควรทราบว่า เรือรบของฉางจินต้งพวกเขาเคยเกรียงไกรทั่วหล้าปราศจากผู้ต่อกร ไม่รู้ว่ามีแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรที่หายวับไปกับตาในพริบตาภายใต้ปืนไฟจากกองเรือของพวกเขา
ยามที่กองเรือรบของพวกเขาไปปรากฏตัวขึ้นที่บริเวณท้องฟ้าของแคว้นเจ้าลัทธิแห่งใดแห่งหนึ่ง ย่อมบ่งบอกว่าสำนักเจ้าลัทธินั้นจะต้องหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว ด้วยเหตุนี้เอง ยามที่กองเรือรบของพวกเขาปรากฏ ยังไม่ทันได้เปิดศึก แคว้นเจ้าลัทธิจำนวนไม่น้อยต่างก็ทิ้งเมืองยอมแพ้อยู่เสมอๆ
เนื่องจากบรรดาแคว้นเจ้าลัทธิเหล่านี้ต่างก็รู้ว่า เมื่อใดที่ถูกปืนไฟของฉางจินต้งระดมยิงอย่างบ้าคลั่งล่ะก็ ไม่เพียงสำนักของตนจะหายวับไปกับตาในพริบตาเดียว ผืนแผ่นดินนี้ก็จะตกต่ำลงไม่สามารถฟื้นตัวขึ้นมาได้อีกเลย ทั่วทั้งแผ่นดินก็จะต้องถูกยิงถล่มจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี ถูกยิงจนเต็มไปด้วยซากปรักหักพัง
ดังนั้น เมื่อฉางจินต้งประกาศสงครามกับสำนักเจ้าลัทธิแห่งใดแห่งหนึ่ง และเมื่อกองเรือรบได้แล่นเข้าไป มักจะสามารถได้รับการยอมแพ้โดยไม่ต้องสู้รบอยู่เสมอๆ
อย่างไรก็ตาม มาวันนี้กองเรือรบที่แข็งแกร่งที่สุดของพวกเขาถึงกับถูกหลี่ชิเย่ทำลายจนพินาศย่อยยับไปในพริบตาเดียว สิ่งนี้ได้ทำให้ศิษย์ของฉางจินต้งงงงันอย่างสิ้นเชิง และเซ่อไปเลยในทันที เมื่อได้สติกลับมาแล้วต่างตัวสั่นเทิ้มทีหนึ่ง
ครั้นศิษย์ของฉางจินต้งได้สติกลับมา ภายในใจของพวกเขาต่างรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึง เจ้าหนูผู้นี้เป็นใครมาจากไหนกันแน่ ถึงกับมีความแข็งแกร่งถึงเพียงนี้ การลงมือถึงได้โหดถึงเพียงนี้ กล้าเป็นสัตรูกับฉางจินต้งของพวกเขา!
แว้งค์…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง มองเห็นเรือรบยานแม่ลำหนึ่งปรากฏประกายขึ้นมา ท่ามกลางประกายดังกล่าวปรากฎร่างเงาผู้หนึ่ง ขณะที่ร่างเงาผู้นี้ปรากฏ ประกายสีทองได้โปรยลงมาเสมือนดั่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดองค์หนึ่ง มีท่าทีก้มมองเหล่าเวไนยสัตว์อย่างนั้น
“สิบวัชระ…” มีผู้ร้องเสียงหลงขึ้นมา เมื่อมองเห็นร่างเงาของคนผู้นี้ปรากฏ
“วัชรเหล็ก หนึ่งในสิบวัชระ” มียอดฝีมือที่จดจำตัวเขาได้ทันที ถึงกับร้องเสียงแผ่วเบาขึ้นมา
“เป็นความจริงที่สิบวัชระอยู่บนเรือรบ ข้ายังเข้าใจว่าสิบวัชระไม่ได้มานะเนี่ย มาแค่เรือรบของพวกเขาเท่านั้นเอง” ผู้คนจำนวนไม่น้อยรู้สึกใจหายใจคว่ำ เมื่อเห็นร่างเงาของคนผู้นี้
“สิบวัชระมากันพร้อมหน้า จำเป็นต้องขนาดนี้เลยรึ? ด้วยกำลังเช่นนี้เท่ากับว่าฉางจินต้งยกออกมาทั้งหมดเลย พวกเขาทำเพื่ออะไร?” ยอดฝีมือสำนักเจ้าลัทธิถึงกับตกใจอยู่ในใจ
สี่พุทธา สิบวัชระของฉางจินต้ง เท่ากับเป็นผู้ค้ำจุนฉางจินต้งเอาไว้ทั้งหมด กล่าวได้ว่า สิบวัชระคือตัวแทนกำลังที่แข็งแกร่งที่สุดของฉางจินต้งแล้ว
บ่อยครั้งที่สิบวัชระจะไม่ออกปราบปรามด้วยตนเอง สามารถมีสามถึงห้าวัชระร่วมทัพปราบปรามก็ถือว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว เวลานี้สิบวัชระมากันพร้อมหน้า แล้วจะไม่ให้ทุกคนต้องรู้สึกใจหายใจคว่ำได้อย่างไร ขบวนทัพแช่นนี้คือการออกปราบปรามระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม ในแดนลัทธิราชัน ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่คู่ควรให้ฉางจินต้งต้องขนเอายุทโธปกรณ์มามากมายเช่นนี้นับว่ามีอยู่ไม่มาก
สำหรับผู้บำเพ็ญตนบางคนที่รุ้สึกสงสัยว่าเพราะอะไรฉางจินต้งถึงได้ส่งขบวนทัพที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้มานั้น มีผู้ที่เหลือบมองพวกเขาทีหนึ่ง และกล่าวเรียบเฉยขึ้นมาว่า “ถ้าเช่นนั้น พวกท่านมาเมืองหมิงลั่วเฉิงเพื่ออะไร?”
สำหรับปัญหาข้อนี้ มีผู้ที่หัวเราะเจื่อนๆ ทีหนึ่ง อย่างไรก็ตาม ผู้บำเพ็ญตนที่ถามปัญหาข้อนี้กลับกล่าวด้วยท่าทีเฉยเมยว่า “เรื่องนี้ใช่จะเป็นความลับอะไร มีอะไรไม่กล้าพูด? ก็เพื่อศิลาเซียนชิ้นหนึ่งที่ตามตำนานเล่าว่าซ่อนอยู่ในเมืองหมิงลั่วเฉิงน่ะสิ ทุกคนต่างก็มาด้วยเรื่องของศิลาเซียน”
ผู้คนจำนวนไม่น้อยที่มองตากันและกัน แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วทุกคนต่างนิ่งเงียบ ไม่ต้องการพูดออกมาว่ามาเพื่ออะไร
“เจ้าเป็นใคร…” ในเวลานี้เอง สายตาของวัชระเหล็กที่ปรากฏตัวอยู่บนเรือรบพลันพุ่งเป้าไปที่หลี่ชิเย่ เมื่อเขาลืมตาทั้งสองขึ้น ได้ส่งประกายศักดิ์สิทธิ์วูบวาบที่น่ากลัวออกมา เสมือนหนึ่งเป็นความร้อนแผดเผาที่ดั่งคลื่นยักษ์อย่างนั้น
เวลานี้ วัชระเหล็กไม่โกรธแต่เปี่ยมด้วยอำนาจ ภายใต้การจ้องมองด้วยตาของเขา ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องร่างสั่นเทา ขณะที่ผู้ที่มีทักษะอ่อนด้อยต้องเข่าอ่อนทั้งสองข้าง และรู้สึกหวาดหวั่นพรั่นพรึงภายใต้อำนาจบารมีของเขา
สิบวัชระของฉางจินต้งเป็นผู้ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในแดนลัทธิราชัน พวกเขาเคยเกรียงไกรทั่วหล้า ปราบปรามเหล่าอาณาจักร ไม่รู้ว่ามียอดฝีมือจำนวนเท่าไรที่ต้องตายอย่างอนาถภายใต้น้ำมือของพวกเขา ไม่รู้ว่ามีแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรที่หายวับไปกับตาในพริบตาเดียวด้วยมือของพวกเขา กล่าวได้ว่า มือทั้งสองของสิบวัชระเต็มไปด้วยเลือด ผู้บำเพ็ญตนของแคว้นเจ้าลัทธิจำนวนมากอดที่จะร่างสั่นเทิ้ม ขวัญหนีดีฝ่อเพียงแค่ได้ยินชื่อของสิบวัชระ
“คนเดินทางผ่านมาเท่านั้นเอง” หลี่ชิเย่กล่าวเรียบเฉย
“ฉางจินต้งของข้ามีความแค้นอะไรกับเจ้า ถึงกับสังหารศิษย์นับล้านของพวกเราไป!” วัชระเหล็กลืมตาทั้งสองข้าง ดั่งวัชระที่โกรธแค้น ท่าทางข่มขวัญผู้คน ส่งเสียงดังน่าเกรงขามขึ้นมา กระทั่งปฐพียังสั่นไหวโคลงแคลงทีหนึ่ง
“อ๋อ มีจำนวนถึงล้านรึ?” หลี่ชิเย่ยิ้มท่าทางดูเบื่อหน่าย และกล่าวว่า “ความแค้นน่ะไม่มี เพียงแต่พวกเจ้ามีตาหามีแววไม่ รื้อบ้านไม้ของข้า ข้าไม่สบอารมณ์ในใจ ดังนั้นจึงจัดการสังหารสิ้นพวกเจ้า เหตุผลนี้เพียงพอมั้ย?” บรรดาผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน เวลานี้ผู้คนจำนวนมากต่างรู้สึกงงงัน เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่
เนื่องจากแรกทีเดียวผู้คนจำนวนมากยังไม่รู้ว่าหลี่ชิเย่ขัดแย้งกับฉางจินต้งเป็นเพราะเรื่องอะไร แรกที่เดียวมีผู้ที่เข้าใจว่าระหว่างหลี่ชิเย่ กับฉางจินต้งต้องการแย่งชิงของวิเศษจึงก่อเกิดความขัดแย้งขึ้นมา
เวลานี้เมื่อทุกได้ฟังจึงรู้ว่าเป็นเพียงบ้านไม้หลังหนึ่งเท่านั้น ก็ทำให้เกิดเรื่องขัดแย้งใหญ่โตเช่นนี้ขึ้นมา ชนวนสงครามเช่นนี้หากแพร่งพรายออกไปเกรงว่าคงไม่มีใครเชื่อ เพียงเพราะบ้านไม้หลังหนึ่ง หลี่ชิเย่ก็ได้ทำลายกองเรือของฉางจินต้งจนหมดทั้งกอง นี่มันออกจะเกินไปแล้ว
“เหตุนองเลือดอันเกิดจากบ้านไม้หลังหนึ่ง” มีผู้ที่รู้สึกงงงัน อดพึมพำขึ้นมาไม่ได้
“นี่ นี่บ้านไม้หลังนี้ออกจะแพงเกินไปแล้วกระมัง เพื่อบ้านไม้หลังหนึ่งแล้วฉางจินต้งต้องพ่วงเอากองเรือรบเข้าไปทั้งกอง บ้านไม้หลังนี้เกรงว่าจะต้องกลายเป็นบ้านไม้ที่มีราคาสูงที่สุดตั้งแต่อดีตที่ผ่านมาแล้ว” ผู้บำเพ็ญตนรุ่นอาวุโสอดที่จะหัวเราะเจื่อนๆ และพึมพำขึ้นมาด้วยความกังขา
“แหะ นี่ถือเป็นเรื่องดีนะเนี่ย ปรกติแล้วฉางจินต้งมักเป็นผู้ที่ยกตนข่มท่านเสมอ การกระทำพาลไร้เหตุผล พลันที่เข้ามาถึงก็รื้อบ้านไม้ของคนอื่น คิดว่าตนเองนั้นปราศจากผู้ต่อกรใต้หล้าจริงๆ นะเนี่ย ต่อให้เป็นสามผู้ยิ่งใหญ่ก็ไม่เห็นว่าจะกล้าอวดดีอันธพาลเช่นนี้ ในที่สุดคราวนี้ได้เรื่องไปเตะเอาตอเข้าแล้ว” มียอดฝีมือสำนักเจ้าลัทธิบางส่วนแอบดีใจที่เห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน
“เจ้า…” วัชระเหล็กเกือบจะกระอักเป็นเลือดออกมา แรกทีเดียวเขายังเข้าใจว่าหลี่ชิเย่มีความแค้นยิ่งใหญ่กับฉางจินต้งของพวกเขา ดังนั้น หลี่ชิเย่จึงได้มาทำลายกองเรือรบของพวกเขาถึงที่นี่
ไม่นึกเลยว่าทำวุ่นวายไปครึ่งค่อนวัน เป็นเพราะบ้านไม้หลังหนึ่งเท่านั้นเอง เพื่อบ้านไม้หลังหนึ่งฉางจินต้งของพวกเขาต้องพ่วงด้วยกองเรือรบทั้งกองเรือ เกรงว่าคงเป็นบ้านไม้หลังที่แพงที่สุดในโลกแล้ว
ในเวลานี้ ภายในใจของวัชระเหล็กแทบกลั่นเป็นเลือด ยังไม่ต้องพูดถึงว่าเรือรบขนาดเล็กจำนวนร้อยกว่าลำที่มีค่าใช้จ่ายในการสร้างที่แพงลิบลิ่ว เรื่อรบทุกๆ ลำต้องอาศัยแรงกายแรงทรัพย์มหาศาลในการหลอมสร้าง และใช้เวลาที่ยาวนาน แม้แต่ศิษย์ และแม่ทัพทั้งหมดที่ถูกหลี่ชิเย่สังหาร กล่าวสำหรับฉางจินต้งพวกเขาแล้วคือการสูญเสียที่ยับเยินมาก
ศิษย์ที่อยู่ในเรือรบทั้งหมดคือกำลังรบหนึ่งในสามของฉางจินต้งเลยทีเดียว เวลานี้ถูกหลี่ชิเย่ทำลายย่อยยับไปภายในชั่วพริบตาเดียว
โดยเฉพาะอย่างยิ่งยังเป็นแค่บ้านไม้หลังหนึ่งเท่านั้น จะไม่ให้ภายในใจของวัชระเหล็กต้องหลั่งเลือดได้อย่างไรเล่า? “เพื่อบ้านไม้หลังหนึ่งแล้วก็เข่นฆ่านับล้าน เจ้าออกจะเสียสติเกินไป และจิตใจอำมหิตไปแล้ว!” ในเวลานี้วัชระเหล็กถึงกับตวาดเสียงดังและกล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “แค่บ้านไม้หลังหนึ่งเท่านั้น ถ้าหากเจ้าต้องการให้ชดใช้ ฉางจินต้งพวกเราสามารถมอบเมืองทองคำให้เจ้าแห่งหนึ่ง! แต่ว่า สังหารศิษย์ของพวกเรา แค้นนี้ยอมไม่ได้!”
“ฉางจินต้งมีใจเมตตาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” มีผู้อดที่จะพึมพำด้วยความกังขา และกล่าวว่า “คนที่ถูกเข่นฆ่าโดยสิบวัชระเกรงว่าต้องนับกันเป็นหลักสิบล้านกระมัง คนอื่นแค่ทำลายกองเรือรบกองหนึ่งเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วมันแตกต่างกันราวฟ้ากับดินเลยทีเดียว ไม่ถึงขั้นจิตใจอำมหิตอะไร”
“แหะ นี่แหละที่เรียกว่าอนุญาตให้พวกพ้องของตนเองทำได้ แต่ห้ามผู้อื่นทำเหมือนตน” ผู้บำเพ็ญตนอาวุโสส่งเสียงแหะๆ และกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้าหากเป็นผู้ที่อ่อนแอกว่า อย่าว่าแต่บ้านไม้ถูกรื้อ กระทั่งถูกฆ่าล้างทั้งตระกูล กล่าวสำหรับฉางจินต้งแล้วก็แค่เหยียบมดตายไม่กี่ตัวเท่านั้น เวลานี้ชนเอาตอเข้าก็เรียกร้องหาความเป็นธรรมขึ้นมา ทำเป็นมีใจเมตตาแล้วกล่าวหาผู้อื่นเสียสติ”
ผู้คนจำนวนไม่น้อยเมื่อได้ยินคำพูดของวัชระเหล็กแล้วต่างยิ้มเยาะทีหนึ่ง จะอย่างไรเสียหลายปีมานี้สำนักต่างๆ ที่ถูกสิบวัชระทำลายมีมากเหลือเกิน ในใจของผู้คนจำนวนเท่าไรที่ไม่พอใจใจฉางจินต้ง
“เมืองทองคำอะไรข้าไม่มีอารมณ์” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉย ผายมือออกและกล่าวด้วยท่าทีเอ้อระเหยว่า “ข้าเพียงต้องการบอกเจ้าว่า อย่าว่าแต่รื้อบ้านไม้ของข้าเลย ขอเพียงเวลาที่ข้าไม่สบอารมณ์ ต่อให้เจ้าแค่จ้องมองข้าทีหนึ่ง ข้าก็จะสังหารเจ้าทั้งครอบครัว สังหารเจ้าทั้งตระกูล ทำลายระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเจ้าทั้งหมด!”
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ผู้คนจำนวนไม่น้อยต่างงุนงง คำพูดนี้ช่างอันธพาลเหลือเกิน เหี้ยมโหดเหลือเกิน
“คนโหดอันดับหนึ่งย่อมเป็นคนโหดอันดับหนึ่ง การพูดการจาโหดเหลือเกิน และการกระทำก็โหดเช่นกัน” มีผู้ที่ได้สติกลับมาก็อดที่จะอุทานด้วยความตื่นตะลึง
ในเวลานี้เอง ทุกคนจึงเข้าใจได้ว่า เพราะอะไรหลี่ชิเย่จึงถูกเรียกว่า ‘คนโหดอันดับหนึ่ง’ ท่วงทีการกระทำเช่นนี้นับว่าไม่เสียทีที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น ‘คนโหดอันดับหนึ่ง’
“เจ้า…” วัชระเหล็กถูกหลี่ชิเย่ยั่วโมโหจนแทบกระอักเลือดออกมา เป็นครั้งแรกที่ได้พบกับผู้ที่กล้าพูดเช่นนี้กับเขา มีผู้คนจำนวนเท่าไรที่ได้ยินชื่อของสิบวัชระแล้วตกใจจนสั่นเทาตลอด
“แค่จ้องตาทีหนึ่งก็สังหารทั้งตระกูล สังหารหมดทั้งระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิ นี่มันโหดเหลือเกิน” มีผู้อาวุโสของสำนักเจ้าลัทธิถึงกับยิ้มเจื่อนๆ เกรงว่านี่คือคำพูดที่อันธพาลและโหดมากที่สุดคำพูดหนึ่งแล้ว
“อย่าเข้าใจว่าตัวเองเป็นคนโหด ย่อมมีผู้ที่โหดยิ่งกว่า” มีผู้ที่หัวเราะทีหนึ่ง ดูจะดีใจที่เห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อนอยู่บ้าง
ในเวลานี้ ทุกคนต่างมองดูภาพที่อยู่ตรงหน้า รอคอยการระเบิดของศึกใหญ่ ทุกคนต่างก็รู้ว่าการศึกครั้งนี้น่าดูแน่ สิบวัชระต่อสู้ชี้ขาดกับคนโหดอันดับหนึ่ง เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างแน่นอน
แน่นอน ราษฎรและผู้บำเพ็ญตนที่เป็นคนพื้นที่ของเมืองหมิงลั่วเฉิงถูกทำให้ตกใจจนตัวสั่นงันงก ในที่สุดพวกเขาก็ได้รู้จักความน่ากลัวของการสู้รบระหว่างยอดฝีมือแล้ว หากไม่ทันระวัง ก็สามารถทำให้เมืองหมิงลั่วเฉิงทั้งเมืองหายวับไปกับตาในพริบตา
ดังนั้น ในเวลานี้ ผู้ที่ไม่ต้องการให้เกิดระเบิดศึกครั้งใหญ่ก็คือ ราษฎรและผู้บำเพ็ญตนทั้งหมดของเมืองหมิงลั่วเฉิงแล้ว พวกเขาไม่ต้องการให้เมืองหมิงลั่วเฉิงของพวกเขาต้องถูกยิงจนแหลกละเอียดไป
……………………………………………………