จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2666
ตอนที่ 2666 สุนัขไม่มีเจ้าของ
หนึ่งฝ่ามือที่ฟาดออกไป ก็จัดการฟาดจนฮ่องเต้ไท่ชิงร่างแหลกเหลว ร่างทั้งร่างเสมือนดั่งเป็นเนื้อบดที่กองอยู่บนพื้น ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
ภาพเช่นนี้สยองขวัญปราศจากผู้เทียบเทียม ทำให้ทุกคนรู้สึกหายใจไม่ออกในทันที ทุกคนต่างรู้สึกว่าตนเองถูกซัดเข้าให้อย่างแรง ดุจดั่งหน้าอกถูกซัดจนแตกละเอียดไปอย่างนั้น ทำให้ไม่สามารถหายใจลึกได้เป็นเวลานาน
ฮ่องเต้ไท่ชิงคือผู้ที่ดำรงอยู่ในสถานะเช่นใด ในโลกนี้จะมีสักกี่คนกล้าบอกว่าตนเองนั้นเหนือกว่าฮ่องเต้ไท่ชิง? แม้แต่ลู่เคอะเวิงขณะมีชีวิตอยู่ก็ไม่กล้าบอกว่าตนเองนั้นเอาชนะฮ่องเต้ไท่ชิงได้!
ทั่วโลกนี้ สิ่งที่ผู้คนรับรู้ก็คือ ผู้ที่เหนือกว่าฮ่องเต้ไท่ชิงคงมีกู่อี้เฟยแห่งตระกูลหลี่แล้ว
ผู้ที่แข็งแกร่งดั่งฮ่องเต้ไท่ชิง มาวันนี้กลับถูกหนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ฟาดจนแหลกละเอียด โดยตัวของเขาถูกหลี่ชิเย่ฟาดจนกลายเป็นเนื้อบด ช่างเป็นภาพที่สร้างความสะเทือนหวั่นไหวต่อจิตใจผู้คนเหลือเกิน ทุกคนถูกทำให้ตระหนกตกใจภายใต้หนึ่งฝ่ามือลักษณะเช่นนี้
“ฝ่าบาท…” ซุนหลิ่งหยิ่งรู้สึกหวาดผวายิ่งเมื่อมองเห็นภาพนี้ ในขณะนี้เขาได้ดิ้นรนจนหลุดออกจากการถูกกระบี่หักตรึงเอาไว้กับพื้นได้แล้ว จึงรีบวิ่งเข้าไปหา
เสียงปุ…เสียงหนึ่งดังขึ้น นาทีนี้มองเห็นแสงที่แวบวับ ฮ่องเต้ไท่ชิงที่ถูกตบจนกลายเป็นเนื้อบดได้ทำการสร้างกายเนื้อขึ้นมาใหม่และมีชีวิตได้อีกครั้ง ในพริบตาเดียวนั้นเอง สีหน้าของเขาขาวซีด แม้ว่าเขาจะสร้างกายเนื้อขึ้นมาใหม่ แต่ว่า เขาได้รับบาดเจ็บที่สาหัสมาก สูญเสียพลังลมปราณอย่างยับเยิน
“หนี…” ซุนหลิ่งหยิ่งคุ้มครองฮ่องเต้ไท่ชิงหลบหนี พวกเขาหนีไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของตระกูลมู่
มาคราวนี้ ฮ่องเต้ไท่ชิงไม่ทำแข็งกร้าวอีกต่อไปแล้ว หันหลังแล้ววิ่งหนีไปยังทิศทางอันเป็นที่ตั้งของตระกูลมู่ ก่อนหน้านั้น ไม่ว่าจะเป็นซุนหลิ่งหยิ่ง หรือว่าฮ่องเต้ไท่ชิง ภายในใจของพวกเขาได้เตรียมพร้อมที่จะเดินทางไปสู่ความตายมาแล้ว
กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว หากต้องการความสำเร็จก็ต้องทุ่มเทมากขึ้นแบกรับความเสี่ยงมากขึ้น เพื่อแผนการใหญ่ พวกเขายินดีเสี่ยงอันตราย ถึงกับยอมแลกกับอันตราย กระทั่งกล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว ขอเพียงให้แผนการใหญ่พวกเขาสำเร็จ พวกเขากระทั่งยอมพ่วงเอาชีวิตของตนเข้าไปด้วย
แต่ว่า นาทีนี้ภายในใจของพวกเขากลับบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา แม้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาได้มีความคิดพร้อมจะไปตายอย่างไม่สะทกสะท้านก็ตาม ในเวลานี้ภายในใจยังคงสั่นเทาทีหนึ่ง และบังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมาทันที
เนื่องจากหลี่ชิเย่นั้นน่าสยองขวัญเหลือเกิน ความน่ากลัวของหลี่ชิเย่ได้เกินเลยกว่าจินตนาการของพวกเขาไปมากทีเดียว โดยเฉพาะฮ่องเต้ไท่ชิง เขารู้ว่าตนเองไม่ใช่คู่ต่อสู้ของหลี่ชิเย่ รู้ว่าตนเองนั้นห่างชั้นไม่อาจต้านทานกับหลี่ชิเย่ได้ แต่ทว่า ไม่นึกไม่ฝันเลยว่า ภายใต้กระบวนท่าสังหารเด็ดขาด ยังคงถูกหนึ่งฝ่ามือของหลี่ชิเย่ตบจนกลายเป็นเนื้อบด
จากสิ่งนี้ก็มองออกได้ว่า หลี่ชิเย่นั้นโกรธขึ้นมาจริงๆ แล้ว พวกฮ่องเต้ไท่ชิงได้แตะต้องต่อมโกรธของหลี่ชิเย่เข้าให้แล้ว พลันที่เขาลงมือก็ทำลายฟ้าดินจนพินาศย่อยยับ หนึ่งฝ่ามือที่ตบจนฮ่องเต้ไท่ชิงกลายเป็นเนื้อบดนั้น หลี่ชิเย่ยังไม่ได้ใช้พลังอย่างเต็มที่ มิฉะนั้นล่ะก็ เขาจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้
กล่าวสำหรับพวกฮ่องเต้ไท่ชิงแล้ว การก้าวสู่ความตายด้วยความฮึกเหิมไม่มีอะไรน่ากลัว พวกเขาเป็นผู้ที่มีชีวิตอยู่มาสามยุคสมัยแล้ว เคยเย้ยหยันใต้หล้ามาแล้ว ต่อให้ต้องตายก็ไม่มีอะไรน่ากลัว พวกเขาจะตายไปอย่างสะเทือนเลื่อนลั่น มีชื่อเสียงไปชั่วนิรันดร์
แต่ว่า ขณะที่หลี่ชิเย่ลงมือนั้น พวกเขาก็เข้าใจแล้วว่ามันไม่มีคำว่าการก้าวสู่ความตายด้วยความฮึกเหิมอะไร ไม่มีคำว่าตายไปอย่างสะเทือนเลื่อนลั่นอะไรอยู่แล้ว
หนึ่งฝ่ามือตามอารมณ์ของหลี่ชิเย่ก็สามารถตบพวกเขาจนตาย ย่อมเป็นการบ่งบอกว่า พวกเขาที่อยู่ในมือของหลี่ชิเย่นั้น เสมือนหนึ่งเป็นมดปลวกตัวหนึ่งอย่างนั้น แค่หลี่ชิเย่ยกเท้าขึ้นมาก็เหยียบพวกเขาจนตายได้
กล่าวสำหรับพวกของฮ่องเต้ไท่ชิงที่มีความมุ่งมาดปรารถนากว้างไกลแล้ว การที่ถูกเหยียบตายเสมือนดั่งมดปลวกตัวหนึ่ง กระทั่งมีความเป็นไปได้ว่าอาจจะตายอย่างเงียบๆ โดยไม่มีคำว่าสะเทือนเลื่อนลั่นอะไรอยู่แล้ว นี่แหละเป็นสิ่งที่พวกเขาหวาดกลัวมากที่สุด
พวกเขาผาดโผนมาชั่วชีวิตปราศจากผู้ต่อกร อยู่มาวันหนึ่งจะต้องตายไปเสมือนดั่งมดปลวกตัวหนึ่งอย่างกะทันหัน เป็นอะไรที่ไร้ค่าคู่ควรจะกล่าวถึง กล่าวสำหรับพวกเขาแล้ว มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างยิ่ง เป็นเรื่องที่สิ้นหวังมากที่สุด
ดังนั้น ในชั่วพริบตาเดียวนั่นเอง ภายในใจของฮ่องเต้ไท่ชิงจึงได้บังเกิดความหวาดกลัวขึ้นมา เขาไม่ได้หวาดกลัวต่อความตาย ที่เขาหวาดกลัวคือตนเองจะต้องตายไปดุจดั่งมดปลวกตัวหนึ่ง มันเป็นอะไรที่น่าสิ้นหวัง เป็นอะไรที่ไร้เรี่ยวแรง และซีดเซียวอะไรอย่างนั้น!
หลี่ชิเย่ที่มองดูซุนหลิ่งหยิ่งคุ้มครองฮ่องเต้ไท่ชิงวิ่งหลบหนีไปยังทิศทางที่ตั้งตระกูลมู่โดยไม่ได้รีบร้อนที่จะสังหารพวกเขา เอามือไพล่หลังก้าวเดินตามหลังพวกเขาไปช้าๆ
“พวกเจ้าสามารถวิ่งหนีไปอย่างเต็มที่ ฟ้าดินกว้างไกลแค่ไหนพวกเจ้าก็หนีไปได้ ใต้หล้านี้ใครกล้าคุ้มครองพวกเจ้า ข้าก็จะสังหารพวกเขาจนสิ้นทุกคน” หลี่ชิเย่ตามฆ่าอยู่ด้านหลัง เสมือนดั่งเดินเล่นในสวนหลังบ้านของตนเอง ไม่ได้รีบร้อนสักนิด สบายอกสบายใจสงบนิ่ง
ทุกคนต่างเงียบสงัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมองเห็นฮ่องเต้ไท่ชิงและซุนหลิ่งหยิ่งพวกเขาสองคนวิ่งหนีดุจดั่งสุนัขไม่มีเจ้าของอย่างนั้น ทุกคนล้วนแล้วแต่สั่นเทิ้มทีหนึ่ง กระทั่งมีความรู้สึกของในหมู่พวกเดียวกันย่อมเห็นใจซึ่งกันและกัน
ตลอดชีวิตของฮ่องเต้ไท่ชิงมีความโด่งดังเพียงใด มีชื่อเสียงที่โด่งดังเช่นใด พวกเขานายบ่าวร่วมมือกัน ในโลกนี้มีกี่คนที่สามารถต่อกรได้ กล่าวได้ว่า ชั่วชีวิตของฮ่องเต้ไท่ชิงเคยทำให้ศัตรูต้องขวัญหนีดีฝ่อเพียงแค่ได้ข่าวของเขา และทำให้ผู้คนทั่วหล้าต้องหวั่นเกรงเขาอยู่สามส่วน
มาวันนี้ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นพวกของฮ่องเต้ไท่ชิงยังคงถูกหลี่ชิเย่ตามฆ่าจนต้องวิ่งหนีเหมือนสุนัขไร้เจ้าของ การที่ต้องตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ มันช่างเศร้ารันทดอะไรอย่างนั้น ช่างเศร้าสลดอะไรอย่างนั้น
มองเห็นฮ่องเต้ไท่ชิงกับซุนหลิ่งหยิ่งสองคนวิ่งหนีกระเซอะกระเซิง ทุกคนต่างรู้สึกเย็นยะเยือกในใจ แม้ว่าจะเป็นผู้ซึ่งเคยเป็นศัตรูกับฮ่องเต้ไท่ชิงมาก่อน ในเวลานี้ก็ไม่ได้รู้สึกดีใจที่เห็นผู้อื่นได้รับความเดือดร้อน ไม่ได้แอบกระหยิ่มในใจ ภายในใจต่างมีความรู้สึกถึงเศร้ารันทดอย่างหนึ่ง มีความรู้สึกเห็นใจซึ่งกันและกันในพวกเดียวกัน
ลองนึกภาพดู ผู้ที่ปราศจากผู้ต่อกรเช่นฮ่องเต้ไท่ชิงที่เป็นนายและบ่าว ยังคงต้องวิ่งหนีเสมือนดั่งสุนัขไม่มีเจ้าของภายใต้น้ำมือของหลี่ชิเย่ หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาล่ะ? พวกเขาจะมีจุดจบเช่นใดกันเล่า เกรงว่าจุดจบของพวกเขาจะยิ่งกว่าฮ่องเต้ไท่ชิงเสียอีก
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าไม่มีใครที่แอบรู้สึกดีใจเงียบๆ ต่อให้เป็นศัตรูของพวกเขา ก็ต้องรู้ศึกเศร้ารันทดในใจ เมื่อมองเห็นฮ่องเต้ไท่ชิงนายบ่าวสองคนถูกคนโหดอันดับหนึ่งตามฆ่าจนเสมือนหนึ่งเป็นสุนัขไม่มีเจ้าของ
แม้แต่ผู้ซึ่งดำรงอยู่ในฐานะของฮ่องเต้ไท่ชิงนายบ่าวสองคนยังเสมือนดั่งเป็นมดปลวก เช่นนั้นแล้วยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนใต้หล้ามิเท่ากับมดปลวกเหมือนกัน กระทั่งแม้แต่มดปลวกยังไม่ปาน
ภาพของฮ่องเต้ไท่ชิงและซุนหลิ่งหยิ่งนายและบ่าวสองคนวิ่งหนีตายล้มลุกคุกคลานหน้าคนหลังคน ทำให้ทุกคนรู้สึกมีดวงตาที่เศร้ารันทด ชั่วชีวิตของฮ่องเต้ไท่ชิงปราศจากผู้ต่อกร มาวันนี้กลับมีจุดจบเช่นนี้ ทำให้มีความรู้สึกของผู้กล้าอับจนหนทางอย่างนั้น
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่หลี่ชิเย่ตามฆ่ามาทางด้านหลังด้วยท่าทีเอ้อระเหยยิ่งทำให้ผู้คนแทบหายใจไม่ออก และรู้สึกสิ้นหวังกับสิ่งนี้ ผู้ปราศจากผู้ต่อกรแห่งยุคกลับจะต้องกระเซอะกระเซิงขนาดนี้ เศร้ารันทดเช่นนี้ ทำให้ผู้คนถึงกับสั่นเทาในใจ
ฮ่องเต้ไท่ชิงและซุนหลิ่งหยิ่งวิ่งหนีกันไป เพียงชั่วพริบตาเดียวก็หนีเข้าไปในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิตระกูลมู่ เดิมทีพวกเขาอยู่ห่างจากระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิตระกูลมู่ใกล้มากอยู่แล้ว ดังนั้น ภายในระยะเวลาอันสั้นพวกเขาก็ก้าวเท้าเข้าไปในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิตระกูลมู่ได้แล้ว
ไม่ว่าใครก็ตาม พลันที่เหยียบย่ำเข้าไปภายในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิตระกูลมู่ก็จะรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายที่กว้างใหญ่ไพศาลน่าเกรงขามสายหนึ่ง ผืนแผ่นดินที่หนาแน่น กลุ่มของภูเขาที่ตั้งสูงตระหง่าน สัจธรรมยาวไกล การได้มาเหยียบในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิเช่นนี้ ทำให้มีความรู้สึกเสมือนหนึ่งเป็นเม็ดข้าวฟ่างหนึ่งเม็ดในมหาสมุทร ทำให้รู้สึกว่าตนเองนั้นช่างเล็กน้อยเหลือเกิน
“ตระกูลมู่…” ไม่ว่าใครก็ตามที่เหยียบเข้าไปในตระกูลมู่ ก็จะมีการอุทานด้วยความตื่นตะลึงเช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อก้าวเท้าเข้าไปยังตระกูลมู่ ภายในใจก็จะมีความเคารพยำเกรงอยู่หลายส่วน
ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิตระกูลมู่มีพื้นที่กว้างขวางไร้ขอบเขต โดยระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธินี้ก่อตั้งขึ้นโดยปฐมบรรพบุรุษมู่หวิน มีธาตุแท้ภายใจที่ผู้คนไม่สามารถศึกษาได้อย่างละเอียด
ขณะที่ปฐมบรรพบุรุษมู่หวินวก่อตั้งระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิตระกูลมู่ขึ้นมานั้น ระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิตระกูลมู่เป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิที่จัดอยู่ในชั้นของแดนลัทธิเซียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งขณะที่ตระกูลมู่เจริญรุ่งเรื่องสุดขีดนั้น เคยมีชื่อเสียงที่ขจรไกลในแดนลัทธิเซียน
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้ตระกูลมู่ในขณะนั้นมีความมั่นใจที่พองโต พลันรู้สึกหยิ่งยโสอวดดีขึ้นมา เข้าใจไปเองว่าปราศจากผู้ต่อกรในหล้า
ตระกูลมู่เคยเหยียดหยามต่อราชันแท้จริงฉงหัวในห้วงที่กำลังเจริญรุ่งเรืองสุดขีดนั่นเอง
สมควรทราบว่าราชันแท้จริงฉงหัวมีชาติกำเนิดมาจากแดนลัทธิพรรษ แต่ว่าเขากลับก้าวขึ้นไปทีละก้าวๆ จนไปอยู่ที่แดนลัทธิเซียน เรียกได้ว่าปราดเปรื่องน่าทึ่งมีเพียงหนึ่งไม่มีสอง
เพียงแต่ กล่าวสำหรับแดนลัทธิเซียนแล้ว เฉกเช่นราชันแท้จริงฉงหัวที่เป็นเพียงราชันแท้จริงที่มีชาติกำเนิดมาจากแดนลัทธิพรรษนั้น ในบรรดาราชันแท้จริงทั้งหมดดูเหมือนจะขี้ริ้วขี้เหร่ไปนิดหนึ่ง
ในขณะนั้น ตระกูลมู่ที่เหมือนดั่งพระอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่กลางหาว และเคยมีราชันแท้จริงมาแล้วหลายคน ด้วยเหตุนี้เอง ภายใต้กำลังความสามารถที่ปราศจากผู้ต่อกรทั่วหล้า ทำให้ตระกูลมู่ดูถูกเหยียดหยามต่อราชันแท้จริงฉงหัว
ในสายตาของตระกูลมู่ซึ่งเป็นระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิในแดนลัทธิเซียนมองว่า เฉกเช่นราชันแท้จริงฉงหัวที่มีชาติกำเนิดมาจากราชันแท้จริงในแดนลัทธิพรรษนั้น เป็นเพียงผีไร้ญาติวิญญาณเร่ร่อนเท่านั้น แม้จะเป็นระดับราชันแท้จริง ก็ไม่นับเป็นอะไรได้
การดูถูกเหยียดหยามของตระกูลมู่สร้างความโกรธเคืองอย่างยิ่งต่อราชันแท้จริงฉงหัว ราชันแท้จริงฉงหัวที่ปราดเปรื่องน่าทึ่งหนึ่งไม่มีสองจึงบุกเข้าสังหารตระกูลมู่จนเลือดนองไหลเป็นธาร เข่นฆ่าตระกูลมู่จนฟ้าถล่มดินทลาย ราชันแท้จริงของตระกูลมู่ต้องเสียชีวิตลงทีละคนๆ
เล่าลือกันว่า ศึกครั้งนั้นเข่นฆ่าจนตระกูลมู่นั้นมีทะเลเลือดที่ดั่งคลื่นยักษ์ กระดูกกองสุมดั่งภูเขา ตระกูลมู่ล่มสลายไปทั้งหมด ในขณะนั้น ตระกูลมู่เกือบถูกราชันแท้จริงฉงหัวทำลายไป
ภายในเวลาชั่วข้ามคืน ตระกูลมู่ที่เดิมอยู่ในชั้นลัทธิเซียนได้ตกลงไปอยู่ในแดนลัทธิราชัน โดยภาพรวมของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิแตกละเอียดไม่มีชิ้นดี เกือบจะหายวับไปกับตาในพริบตา
หลังจากผ่านกาลเวลาที่ยาวนาน ตระกูลมู่จึงได้ฟื้นคืนกำลังขึ้นมาใหม่ ในที่สุดได้ผงาดขึ้นมาอีกครั้ง กลายเป็นหนึ่งในสามผู้ยิ่งใหญ่ของแดนลัทธิราชัน แต่ทว่า พวกเขายากที่จะหวนคืนสู่แดนลัทธิเซียนอีกแล้ว
มาวันนี้ ตระกูลมู่ไม่ได้มีสภาพที่น่าเวทนาเหมือนครั้งนั้นอีกแล้ว สภาพที่แตกละเอียดไม่มีชิ้นดีในครั้งนั้นก็ได้จางหายไปนานแล้ว
ตระกูลมู่ในวันนี้มีความยิ่งใหญ่ที่พัฒนาขึ้นเป็นของตนเอง ในฐานะที่เป็นหนึ่งในสามระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิผู้ยิ่งใหญ่ สมคำเล่าลือโดยแท้จริง เมื่อผู้คนเหยียบย่างเข้าไปยังแผ่นดินของตระกูลมู่นั้น ภายในใจของผู้คนจำนวนมาก็จะนึกถึงคำๆ หนึ่งนั่นก็คือ สิ่งที่ใหญ่โตมโหฬาร
เป็นความจริงที่หลังจากตระกูลมู่ได้ผ่านการสั่งสมมานานนับพันล้านปีแล้ว ธาตุแท้ภายในของพวกเขาก็ได้ฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ กลายเป็นยักษ์ใหญ่ที่เย้ยหยันอยู่ในแดนลัทธิราชันอีกครั้ง
มองเห็นทั้งซุนหลิ่งหยิ่งและฮ่องเต้ไท่ชิงต่างก็วิ่งหนีเข้าไปในตระกูลมู่ ทำให้ผู้คนทั่วหล้าต่างกลั้นลมหายใจเอาไว้ มีระดับบรรพบุรุษจำนวนไม่น้อยมองตาซึ่งกันและกันทีหนึ่ง
“ตระกูลมู่จะให้ความคุ้มครองพวกเขาหรือไม่?” ผู้คนจำนวนไม่น้อยได้มีคำถามเช่นนี้ผุดขึ้นภายในใจ
สมควรทราบว่า ในอดีตฮ่องเต้ไท่ชิงเรียกได้ว่ายกตนข่มท่าน มีความขัดแย้งกับตระกูลมู่อยู่ไม่น้อย เวลานี้ฮ่องเต้ไท่ชิงหนีไปยังตระกูลมู่ ตระกูลมู่จะให้ความคุ้มครองต่อศัตรูในอดีตหรือ?
ที่น่ากลัวยิ่งกว่าก็คือ ทุกคนต่างมองออกว่า ใครก็ตามกล้าให้ความคุ้มครองต่อฮ่องเต้ไท่ชิงนายและบ่าวสองคน คนโหดอันดับหนึ่งจะต้องเข่นฆ่าระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิๆ หนึ่งจนหมด ต้องเข่นฆ่าจนระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิผู้ให้ความคุ้มครองพวกเขาจนเลือดไหลนองเป็นธาร กระดูกกองสุมดั่งภูเขาอย่างแน่นอน
ไม่ว่าใครก็ตามหากมีสติสัมปชัญญะสักนิด ย่อมจะเข้าใจได้ว่าการให้ความคุ้มครองฮ่องเต้ไท่ชิง และซุนหลิ่งหยิ่งเป็นการกระทำที่ไม่ชาญฉลาดอย่างยิ่ง กระทั่งเป็นการรนหาที่ตายเอง
“ยอม…” ระดับบรรพบุรุษสำนักเจ้าลัทธิมองออกถึงความนัย เอ่ยขึ้นช้าๆ ว่า “ศัตรูของศัตรูก็คือพันธมิตร ตระกูลมู่ในวันนี้ไม่มีทางเลือก ถ้าหากในเวลานี้พวกเขายังคงไม่ถือว่ามีศัตรูคนเดียวกัน ก็รอเวลาถูกทำลายจนสูญสลายก็แล้วกัน”
ติดตามต่อได้ที่ meenovel.com
………………………………………