จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2727
ตอนที่ 2727 สยบตามอารมณ์
พลันที่คำพูดนี้ถูกพูดออกมา ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมีสีหน้าที่เปลี่ยนไปมากทีเดียว ที่ตรงนี้คือห้องโถงสำหรับประชุมหารือเรื่องสำคัญของนิกายหู้ซานจง ผู้ที่นั่งอยู่ที่ตรงนี้ในวันนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลสำคัญที่สุดของนิกายหู้ซานจง ผู้อาวุโสทั้งหมดของนิกายหู้ซานจงล้วนแล้วแต่อยู่ในเหตุการณ์ รวมทั้งเฉินเหวยเจิ้งผู้เป็นเจ้านิกาย
เวลานี้ถึงกับมีผู้ที่ด้อยค่าเฉินเหวยเจิ้งผู้เป็นเจ้านิกายถึงเพียงนี้ต่อหน้าผู้อาวุโส ผู้คุมกฎทั้งหมดของนิกายหู้ซานจง ช่างเป็นการอวดดีมากเกินไปแล้ว และเป็นการสบประมาทต่อลักษณะอันน่าเกรงขามและศักดิ์ศรีของนิกายหู้ซานจง
ในเวลานี้ ผู้อาวุโส และผู้คุมกฎของนิกายหู้ซานจงที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างมองหาผู้ที่พูดด้วยความโกรธ ผู้ที่พูดคำพูดนี้ออกมาก็คือหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนนั่นเอง
ก่อนหน้านั้น หลี่ชิเย่ที่เสมือนดั่งหลับใหลนั้นได้ลืมตาทั้งสองขึ้นมาแล้ว เอนนอนอยู่ตรงนั้นด้วยท่าทางที่เบื่อหน่าย เหมือนสะลืมสะลือยังไม่ตื่นดีอย่างนั้น ท่าทางตามอารมณ์ยิ่งนัก
“แค่มนุษย์ปุถุชนธรรมดาคนหนึ่ง พูดจาอวดดี” ในเวลานี้มีผู้อาวุโสที่ถึงกับระเบิดอารมณ์ ดวงตาทั้งสองดูไม่เป็นมิตร ร้องตวาดเสียงดังน่าครั่นคร้ามขึ้นมา
“ไม่ทราบสหายมีความเห็นสูงส่งเช่นใด?” เปรียบกับผู้อาวุโสที่ระเบิดอารมณ์แล้ว เฉินเหวยเจิ้งผู้เป็นเจ้านิกายกลับสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ สายตาเพ่งตรงไปข้างหน้าและจ้องเขม็งที่หลี่ชิเย่ สุดท้ายได้เอ่ยขึ้นมาช้าๆ
“เข็นข้าขึ้นไป” หลี่ชิเย่สั่งการกับกัวเจียหุ้ยคำหนึ่ง
กัวเจียหุ้ยไม่พูดอะไร เข็นเก้าอี้ล้อเลื่อนขึ้นไปช้าๆ สุดท้าย ได้หยุดอยู่ตรงด้านบน ซึ่งก็คือตำแหน่งที่เฉินเหวยเจิ้งผู้เป็นเจ้านิกายนั่งอยู่นั้น
“วันนี้ข้าจะไม่ใช้กำลังแล้วล่ะ” หลี่ชิเย่จ้องมองดูเจ้านิกายเฉินเหวยเจิ้งทีหนึ่ง กล่าวเรียบเฉยว่า “หลบไปข้างๆ เถอะ ข้าจะเป็นผู้จัดการธุระทั้งหมดเอง”
“นี่สหายต้องการชิงอำนาจรึ?” เจ้านิกายเฉินเหวยเจิ้งถึงกับเพ่งสายตาทั้งสองไปข้างหน้า แววตาแฝงไว้ซึ่งความน่าเกรงขาม และเอ่ยขึ้นช้าๆ
นับว่าเฉินเหวยเจิ้งยังสามารถอดกลั้นเอาไว้ได้ ไม่ได้แสดงอาการโมโหสุดขีด นับว่าเป็นผู้ที่สามารถควบคุมตนเองได้ไม่น้อย
“แย่งชิงอำนาจอะไรกัน อำนาจเล็กน้อยเพียงเท่านนี้นับไม่ได้แม้แต่นิดเดียว” หลี่ชิเย่ไม่มีท่าทีสนใจแม้แต่น้อย และกล่าวว่า “เพียงแต่สวะอย่างพวกเจ้าโง่เหลือเกิน ขายหน้าปฐมบรรพบุรุษไปสิ้น สำนักดีๆ ถูกทำจนเละเทะไปหมด ที่ฝึกนั้นไม่รู้อะไรกันแน่”
พลันที่พูดคำๆ นี้ออกมา สีหน้าของเฉินเหวยเจิ้งพลันเปลี่ยนไป นี่ไม่เพียงเกี่ยวพันถึงชื่อเสียงเกียรติยศส่วนตัวของเขาแล้ว เป็นการทำให้ต้องอับอายไปทั่วทั้งนิกายหู้ซานจง
“สหาย ระวังคำพูดด้วย ที่นี่คือนิกายหู้ซานจง” สีหน้าของเฉินเหวยเจิ้งพลันดูบึ้งตึง และกล่าวน่าเกรงขามขึ้นมา
“เจ้าหนูที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำมาจากไหนกัน ถึงกับกล้าพูดจาไร้ยางอายต่อหน้าพวกเรา ตะเพิดออกไป จับโยนลงเขาไปเสีย” ผู้อาวุโสที่ระเบิดอารมณ์โกรธขึ้นมาเมื่อครู่คำรามเสียงทุ้มต่ำขึ้นมาทันที
หลี่เจี้ยนคุนในฐานะที่เป็นศิษย์พี่ใหญ่ได้แต่ก้าวออกไปข้างหน้าเมื่อได้รับคำสั่งจากผู้อาวุโส กล่าวต่อกัวเจียหุ้ยด้วยเสียงทุ้มต่ำว่า “ศิษย์น้อง สหายของเจ้าพูดจาไม่น่าฟังเลย เป็นเจ้าส่งเขาลงเขาไป หรือว่าให้ข้าส่งเขาลงไปล่ะ?”
กัวเจียหุ้ยอ้าปากกำลังจะพูด สุดท้ายได้แต่นิ่งเงียบ เพียงส่ายหน้าต่อหลี่เจี้ยนคุน ส่งสัญญาณให้เขาอย่าได้ทำอะไรบุ่มบ่าม
หลี่เจี้ยนคุนไหนเลยจะใส่ใจต่อความคิดของกัวเจียหุ้ย ส่งเสียงดังทุ้มต่ำว่า “ในเมื่อศิษย์น้อยไม่ลงมือ เช่นนั้นแล้วศิษย์พี่ก็ขอล่วงเกินแล้ว จับเขาโยนลงเขาไป พลันที่พูดขาดคำ มือขนาดใหญ่ยื่นไปคว้าตัวหลี่ชิเย่”
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น มือขนาดใหญ่ของหลี่เจี้ยนคุนยังไม่ทันแตะต้องถูกตัวของหลี่ชิเย่ พลันถูกกระแทกจนตัวลอยออกไป และพุ่งตกลงกับพื้นอย่างแรง
“ที่แท้เป็นยอดฝีมือ ข้าอยากจะรู้นักว่าจะมีกำลังความสามารถสักแค่ไหน” ผู้อาวุโสที่โกรธจัด ดวงตาทั้งสองดูไม่เป็นมิตร โมโหอย่างรุนแรง มือขนาดใหญ่คว้าไปที่ตัวหลี่ชิเย่อย่างโหดเหี้ยม
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น มือขนาดใหญ่ของผู้อาวุโสผู้นี้ยังไม่ทันถูกตัวหลี่ชิเย่ ผลออกมาเหมือนกับหลี่เจี้ยนคุนอย่างนั้น พลันถูกกระแทกจนลอยออกไปและกระแทกกับพื้นดินอย่างแรง
“เจ้าเป็นใคร…” เมื่อเห็นว่าหลี่ชิเย่ไม่ได้ขยับแม้กระทั่งนิ้วมือ ถึงกับทำให้ผู้อาวุโสถูกพลังกระแทกจนตัวลอย พลันทำให้ภายในใจของผู้อาวุโสคนอื่นๆ ต้องสะดุ้งทีหนึ่ง
“ไม่พอใจก็เข้ามาพร้อมกันทั้งหมดเลย จะซัดจนกว่าพวกเจ้าจะยอม” หลี่ชิเย่ไม่ได้เลิกกระทั่งหนังตา ท่าทางตามอารมณ์ยิ่งนัก
ในสายตาของบรรดาผู้อาวุโส ผู้คุมกฎทั้งหมดของนิกายหู้ซานจง เมื่อเห็นท่าทางของหลี่ชิเย่แล้วเรียกได้ว่าโมโหสุดขีดขึ้นมาทันที
แม้จะเป็นความจริงที่ว่านิกายหู้ซานจงของพวกเขาตกต่ำลงแล้ว แต่ว่า มาวันนี้กลับถูกคนอื่นดูถูกถึงเพียงนี้ เหมือนนิกายหู้ซานจงของพวกเขาไม่มีตัวตน อีกทั้งผู้ที่ดูถูกพวกเขายังเป็นคนพิการที่นอนอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนอีกด้วย แล้วจะไม่ให้ในใจของบรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎโกรธจนอกแตกตายได้อย่างไร
หรือว่าผู้อาวุโส ผู้คุมกฎพวกเขาจำนวนมากเช่นนี้ร่วมมือกันยังสู้คนพิการคนหนึ่งไม่ได้อย่างนั้นรึ?
“วาจาสามหาวมาก พวกเรากลับต้องการรู้นักว่าเจ้าจะมีฝีมือสักแค่ไหน!” ในเวลานี้ บรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างโกรธจัด ร้องคำรามเสียงดังพร้อมกัน บรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎทั้งหมดลงมือพร้อมกัน เข้าสยบต่อหลี่ชิเย่อย่างโหดร้าย
พวกเขาไม่เชื่ออยู่แล้ว อาศัยคนพิการที่นอนอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนอย่างหลี่ชิเย่ยังแข็งแกร่งมากกว่าพวกเขาทั้งหมดร่วมมือกัน! ดังนั้น ทั้งบรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎของนิกายหู้ซานจงต่างลงมือพร้อมกัน และอาศัยกำลังที่ทรงพลังมากที่สุดเพื่อสยบหลี่ชิเย่ให้อยู่กับพื้น
เสียงปัง…ดังสนั่นขึ้นมาเสียงหนึ่ง เห็นเพียงหลี่ชิเย่ที่ดีดนิ้วทีหนึ่ง ห้องโถงทั้งหลังคล้ายระเบิดขึ้นมา บรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎที่ลงมือต่อหลี่ชิเย่พลันกระเด็นออกไปและตกลงพื้นอย่างแรง
ขณะที่พวกเขายังไม่ทันได้ลุกขึ้นมา นิ้วมือของหลี่ชิเย่เพียงเคาะเบาๆ ที่ที่เท้าแขนของเก้าอี้ล้อเลื่อนทีหนึ่งเท่านั้น ได้ยินเสียงปัง ปัง ปังบรรดาผู้คุมกฎ ผู้อาวุโสทั้งหมดพลันถูกสยบลงกับพื้น
ร่างกายของพวกเขาที่เพิ่งกำลังจะลุกขึ้นได้กระแทกเข้ากับพื้นดินอย่างแรง เหมือนตกกระแทกพื้นจากท้องฟ้าสูงอย่างนั้น หันหน้าเข้าหาพื้นดิน กระแทกเข้ากับก้อนหินอย่างแรงจนเลือดสดๆ ไหลริน หน้าตายับเยินไปหมด
เจ้านิกายเฉินเหวยเจิ้งที่ยืนอยู่ด้านข้างและไม่ได้ลงมือพลันอ้าปากกว้างค้างอยู่ตรงนั้น เขาเองก็นึกไม่ถึงว่าผลจะเป็นเช่นนี้
กัวเจียหุ้ยทำท่าจะพูด แต่นางก็หุบปากแต่โดยดี สิ่งนี้อยู่เหนือกำลังความสามารถของนางไปมากทีเดียวแล้ว
จ้าวจื้อถิงที่อยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสะดุ้งในใจ แม้ว่าภายในใจของนางได้เตรียมใจเอาไว้แล้ว แต่ยังคงถูกทำให้หวั่นไหว
จ้าวจื้อถิงเองก็เข้าใจดีว่าหลี่ชิเย่เป็นยอดฝีมือที่ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง แต่ นึกไม่ถึงว่าจะแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
สมควรทราบว่า ในความคิดของจ้าวจื้อถิงนั้น ผู้อาวุโสของนิกายหู้ซานจงดำรงอยู่ในฐานะที่แข็งแกร่งมากแล้ว ซึ่งก็คือผู้ที่แข็งแกร่งมากที่สุดของนิกายหู้ซานจงแล้ว
แต่ว่า มาวันนี้เมื่อถึงมือของหลี่ชิเย่แล้วกลับสู้ไม่ได้เลย หลี่ชิเย่เพียงเคาะนิ้วมือเบาๆ เท่านั้น ก็จัดการสยบบรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎทั้งหมดเอาไว้ตรงนั้น ช่างสั่นสะเทือนหวั่นไหวจิตใจผู้คนมากเหลือเกิน
สำหรับศิษย์พี่ใหญ่หลี่เจี้ยนคุนเรียกว่าถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหวโดยสิ้นเชิงไปแล้ว ตัวเขาได้ยืนเซ่ออยู่ตรงนั้นไปแล้ว
วันนั้น พวกเขาคือผู้ที่พบเห็นหลี่ชิเย่ก่อนผู้อื่น ในขณะนั้นทุกคนต่างมองว่าหลี่ชิเย่เป็นเพียงคนพิการคนหนึ่งเท่านั้น พิการจนกลายเป็นมนุษย์ผักไปแล้ว ในเวลานั้น กระทั่งหลี่เจี้ยนคุนคิดจะสังหารหลี่ชิเย่เสีย
ในขณะนี้ หลี่เจี้ยนคุนจึงได้เข้าใจว่า หลี่ชิเย่หาใช่เป็นคนพิการอยู่แล้ว เพียงแต่เป็นยอดฝีมือที่แข็งแกร่งอย่างยิ่งที่กระดิกตัวไม่ได้เท่านั้น
เมื่อหวนนึกถึงตอนนั้นตนเองยังคิดจะสังหารหลี่ชิเย่เสีย มาคราวนี้พลันทำให้หลี่เจี้ยนคุนถึงกับเหงื่อเย็นไหลโทรมกาย เสียวสันหลัง และขนลุกซู่กับสิ่งนี้ โชคดีที่ตอนนั้นกัวเจียหุ้ยมีใจเมตตา มิฉะนั้นล่ะก็ คนที่ตายอยู่ที่ตรงนั้นเกรงว่าคงไม่ใช่หลี่ชิเย่ แต่เป็นตัวเอง
“ท่านผู้อาวุโส ท่านผู้อาวุโส ไม่ทราบว่านิกายหู้ซานจงของข้า ข้าไปล่วงเกินผู้อาวุโสตรงไหน นิกายหู้ซานจงของพวกเราขออภัยด้วย…” เมื่อเฉินเหวยเจิ้งเจ้าสำนักนิกายหู้ซานจงได้สติกลับมา ถึงกับร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง รีบก้มโค้งแสดงความเคารพต่อหลี่ชิเย่ เหลือเพียงไม่ได้คุกเข่าโขกศีรษะให้กับหลี่ชิเย่เท่านั้น
ในเวลานี้ กล่าวสำหรับเฉินเหวยเจิ้งแล้ว เกียรติยศศักดิ์ศรีส่วนตนนับเป็นอะไรได้ ในเวลานี้ขอเพียงสามารถรักษานิกายหู้ซานจงไว้ได้ สามารถปกป้องบรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎได้ ต่อให้เต้องคุกเข่าโขกศีรษะเขาก็ยอม
ถ้าหากปราศจากเหล่าพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎแล้ว นิกายหู้ซานจงของพวกเขาก็ต้องขาดเสาหลักไป นิกายหู้ซานจงที่เดิมอ่อนแออยู่แล้วก็จะกลายเป็นสู้อะไรไม่ได้เลย
นาทีนี้ เฉินเหวยเจิ้งเองก็เข้าใจ พวกเขาได้พบกับยอดฝีมือที่แท้จริงแล้ว ยอดฝีมือลักษณะเช่นนี้อยู่เหนือขอบเขตความสามารถของพวกเขา แม้แต่เทพแท้จริงอย่างตัวเขาเมื่ออยู่ต่อหน้าเขาแล้วก็สู้ไม่ได้เลย
หลี่ชิเย่เพียงจ้องมองดูเฉินเหวยเจิ้งที่พยายามร้องขอด้วยน้ำเสียงเศร้ารันทด เพียงกล่าวเรียบเฉยขึ้นว่า “ถ้าหากข้าต้องการทำลายล้างนิกายหู้ซานจงพวกเจ้า ยังต้องรอถึงตอนนี้รึ? แค่มือข้างใดข้างหนึ่งก็ทำลายพวกเจาได้แล้ว”
พูดขาดคำ นิ้วมือหลี่ชิเย่เพียงเคาะตีทีหนึ่งเบาๆ พลังที่สยบลงบนตัวของบรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎพลันสลายหายไปไร้ร่องรอย
หลังจากพลังที่สยบอยู่บนตัวของบรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎสลายไปแล้ว พวกเขาต่างทยอยกันลุกขึ้น เหมือนได้ปลดปล่อยของหนักออกจากบ่า ทยอยกันถอยไปอยู่ข้างๆ ในเวลานี้พวกเขาถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึง เมื่อมองเห็นหลี่ชิเย่แล้วต่างร่างสั่นเทิ้มทีหนึ่ง
ในเวลานี้ต่อให้พวกเขาโง่เขลามากกว่านี้ ไร้สมองมากกว่านี้ก็สามารถเข้าใจได้ว่า นิกายหู้ซานจงของพวกเขาได้พานพบยอดฝีมือที่น่ากลัวยิ่งเข้าให้แล้ว อีกทั้งนิกายหู้ซานจงของพวกเขาสามารถรักษาเอาไว้ได้ในวันนี้ สามารถทนและผ่านด่านนี้ไปได้หรือไม่นั้น คงพูดยากแล้ว
“พวกไร้สมองกลุ่มหนึ่ง คร่ำครึและโง่เขลา” หลี่ชิเย่เพียงกล่าวน้ำเสียงเย็นชาว่า ”ฝีมือชั่วชีวิตของผู้เฒ่าอมตะถูกพวกเจ้าที่ไร้สมองกลุ่มนี้ทำเสียของไปหมด ที่พวกเจ้าฝึกปรือกันจนเหมือนอะไรไปนี่”
ในขณะนี้ บรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎล้วนแล้วแต่ไม่กล้าส่งเสียงออกมา เมื่อถูกหลี่ชิเย่ชี้หน้าด่าเช่นนี้
“ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสมีนามว่ากระไร ไม่ทราบว่ามาจากดินแดนเซียนใด?” จังหวะที่บรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎต่างไม่กล้าส่งเสียงใดๆ นั้น เจ้านิกายเฉินเหวยเจิ้งรีบก้มโค้งแสดงความเคารพพยักหน้า และไกล่เกลี่ย
“มาจากดินแดนเซียนอะไรของเจ้า” หลี่ชิเย่มองหน้าเฉินเหวยเจิ้งเย็นชาแวบหนึ่ง กล่าวน่าเกรงขามขึ้นมาว่า “วันนี้ ข้าก็คือศิษย์ของนิกายหู้ซานจง นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าก็จะเป็นผู้ดูแลนิกายหู้ซานจงแทน”
เฉินเหวยเจิ้งพลันงงงันไปทันที เมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ชิเย่ แม้แต่บรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมดก็รู้สึกงงงัน
นิกายหู้ซานจงของพวกเขาจู่ๆ ก็มีศิษย์ที่แข็งแกร่งถึงเพียงนี้โผล่ขึ้นมา พลันลงมือก็สยบบรรดาพวกผู้อาวุโส ผู้คุมกฎเอาไว้ทั้งหมด พวกเขาจะพูดอย่างไรดีนะ?
แม้ว่านิกายหู้ซานจงของพวกเขาคือสำนักขนาดเล็กไปแล้ว แต่ว่า การรับศิษย์ของนิกายหู้ซานจงพวกเขาก็มีขั้นตอนของมัน ไม่ว่าศิษย์คนใดจะเข้าร่วมในนิกายหู้ซานจงพวกเขา จะต้องผ่านการทดสอบ
เวลานี้หลี่ชิเย่บอกว่าตนเองเป็นศิษย์ของนิกายหู้ซานจง พลันทำให้พวกของเฉินเหวยเจิ้งไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดี
………………………………………………