จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2729
ตอนที่ 2729 เลือก
เฉินเหวยเจิ้งพูดตะกุกตะกะไม่ลื่นไหล ว่า “ท่านผู้อาวุโส ตาม ตามกฎของระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมาร ถ้าหาก ถ้าหากว่าปราชญาเมธีรุ่นใหม่ของนิกายหู้ซานจงพวกเราถือกำเนิดขึ้น ควรแจ้งให้สำนักอื่นๆ ได้รับทราบ ไม่ทราบว่าท่านอาวุโสคิดเห็นประการใด?”
ในเวลานี้ เฉินเหวยเจิ้งได้ขอคำชี้แนะต่อหลี่ชิเย่แล้ว เริ่มมีใจที่ถือเอาหลี่ชิเย่เป็นคนกันเองแล้วล่ะ
เรื่องที่เฉินเหวยเจิ้งเอ่ยถึงนั้นคือเรื่องที่สร้างความปวดหัวให้กับเขา หากเป็นช่วงที่นิกายหู้ซานจงเจริญรุ่งเรือง ทุกยุคสมัยที่ปรากฏปราชญาเมธีขึ้นมาถือเป็นกิจการภายในของนิกายหู้ซานจงเอง ไม่อนุญาตให้บุคคลภายนอกมายุ่งเกี่ยว
เสียดาย ภายหลังจากการที่นิกายหู้ซานจงของพวกเขาเสื่อมลง สำนักบางแห่งที่มีกำลังกว่าในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารได้เข้ามาก้าวก่ายเรื่องนี้ โดยบรรดาสำนักที่มีกำลังต้องการสร้างอำนาจบารมีของพวกเขา
“ตามใจ” หลี่ชิเย่ไม่ได้ลืมตาขึ้น เพียงกล่าวเรียบเฉยคำหนึ่งก็สั่งให้กัวเจียหุ้ยเข็นไปจากที่ตรงนี้ จ้าวจื้อถิงก็รีบติดตามจากไปด้วย
เฉินเหวยเจิ้งได้น้อมส่งการจากไปของหลี่ชิเย่ หลังจากที่เงาหลังของหลี่ชิเย่หายไปแล้ว เขาจึงได้ทอดถอนใจออกมายาวๆ ทีหนึ่ง
ครั้นหลี่ชิเย่จากไปแล้ว บรรดาผู้อาวุโส ผู้คุมกฎที่อยู่ในเหตุการณ์ต่างล้อมวงกันเข้ามา แย่งกันพูดขึ้นว่า “เป็นอย่างไร เจ้านิกาย พวกเราควรทำอย่างไร?”
ในเวลานี้ บรรดาผู้คุมกฎและผู้อาวุโสของนิกายหู้ซานจงล้วนปราศจากความคิดเห็นแล้ว ต่างทยอยกันเอ่ยถามซึ่งกันและกัน ความจริงแล้วพวกเขาก็ไม่รู้ว่าควรจะทำเช่นใดดี
จู่ๆ โผล่ผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้ขึ้นมากะทันหัน และบอกว่าตนเองเป็นศิษย์ของนิกายหู้ซานจง ต้องการสืบทอดปกครองนิกายหู้ซานจงของพวกเขา บรรดาผู้คุมกฎและผู้อาวุโสเช่นพวกเขาควรทำเช่นใดดี?
“พวกท่านคิดว่าควรทำอย่างไร?” เฉินเหวยเจิ้งถึงกับกล่าวเสียงทุ้มต่ำ และมองดูบรรดาผู้คุมกฎและผู้อาวุโส
บรรดาผู้คุมกฎและผู้อาวุโสต่างมองหน้ากันและกันในเวลานี้ เวลานี้พวกเขาก็ไม่สามารถเสนอความคิดออกไปได้ ใช้ไม้แข็งกับหลี่ชิเย่รึ? มันทำไม่ได้อยู่แล้ว แค่นิ้วมือนิ้วเดียวของเขาก็สามารถกวาดล้างนิกายหู้ซานจงของพวกเขาได้ทั้งหมด พวกเขาจะเอาอะไรมาแลกชีวิตกับหลี่ชิเย่? เป็นเรื่องที่ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริงอยู่แล้ว
หากมาไม้อ่อน? พวกเขายังจะมีไม้อ่อนแบบไหนได้อีก? ดูเหมือนวิธีการที่เป็นไม้อ่อนสักนิดก็ไม่มี
“ถ้าไม่อย่างนั้น พวกเราแจ้งแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ ขอความช่วยเหลือจากแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ?” ผู้คุมกฎผู้หนึ่งกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “แคว้นโบราณยันต์แปดทิศตั้งต้นเป็นผู้กุมอำนาจของระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิตลอดมา เกรงว่าพวกเขาคงจะไม่นิ่งดูดายกระมัง”
“ไม่ได้ ไม่ได้ ไม่ได้เด็ดขาด” เฉินเหวยเจิ้งยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา มีผู้อาวุโสที่อายุมากได้ส่ายหน้าและกล่าวว่า “แคว้นโบราณยันต์แปดทิศมีความทะเยอทะยานที่โฉดชั่วดั่งหมาป่า เมื่อถึงตอนนั้น เกรงว่าเชิญเจ้ามาง่าย ส่งเจ้ากลับยาก เป็นการหนีเสือปะจระเข้ ทำไม่ได้”
“ชั่วดีอย่างไรพวกเราก็ยังมีฐานรากอยู่บ้าง ในระบบถ่ายทอดความคิดทางด้านลัทธิพวกเรานับว่าเป็นผู้ที่มีชาติกำเนิดที่เป็นสายตรง หากไปขอความช่วยเหลือจากแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ ถึงเวลานั้น พวกเขาก็จะยึดนิกายหู้ซานจงของพวกเราอย่างมีเหตุผลเต็มปากเต็มคำ ถึงตอนนั้นก็คือนกเขายึดรังสาริกา” ผู้อาวุโสอีกผู้หนึ่งก็คัดค้านที่จะขอความช่วยเหลือจากแคว้นโบราณยันต์แปดทิศ
แม้จะกล่าวว่านิกายหู้ซานจงของพวกเขาเสื่อมลงแล้ว แต่ว่า พวกเขาถือเป็นสายตรง เป็นสายของผู้เฒ่าอมตะ ซึ่งในระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารไม่รู้ว่ามีสำนักเจ้าลัทธิจำนวนเท่าไรที่ไม่ได้มีฐานะเป็นสายเลือดตรงเช่นนี้ ซึ่งก็เป็นที่ต้องการได้มาครอบครองเป็นอันมากของสำนักเจ้าลัทธิบางแห่ง
“ขอความช่วยเหลือจากแคว้นโบราณยันต์แปดทิศไม่ได้” เฉินเหวยเจิ้งในฐานะเจ้านิกายก็แสดงท่าที ส่ายหน้าและกล่าวว่า “เกรงว่าคนของแคว้นโบราณยันต์แปดทิศมาแล้วก็จะไม่ยอมไปอีกแล้ว ถึงตอนนั้น นิกายหู้ซานจงของพวกเราคงต้องตกไปอยู่ในมือของพวกเขาอย่างแท้จริง กลายเป็นหุ่นเชิดในมือของพวกเขาโดยแท้จริง ตรงกันข้าม ผู้อาวุโสท่านนี้ ดูเหมือนจะมีสายสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับนิกายหู้ซานจงของพวกเรา ข้าว่าไม่แน่เสมอไปว่าเขาจะคิดร้ายกับพวกเรา”
“ข้าก็รู้สึกเช่นนั้น” ผู้อาวุโสที่อายุมากก็พยักหน้า และกล่าวว่า “เก่ากะลาคิดว่า ผู้อาวุโสท่านนี้ไม่เห็นจะหมายปองอะไรจากนิกายหู้ซานจงของพวกเรา ถ้าหากเขาต้องการสิ่งใดจากนิกายหู้ซานจงของพวกเราล่ะก็ ลงมือหยิบไปตรงๆ ก็สิ้นเรื่อง ใยต้องรั้งอยู่ในนิกายหู้ซานจงของพวกเรา ไม่จำเป็นต้องทำเรื่องให้มันยุ่งยากขนาดนี้ก็ได้อยู่แล้ว?”
เมื่อบรรดาผู้คุมกฎและผู้อาวุโสคนอื่นๆ ได้ฟังคำเช่นนี้แล้วก็รู้สึกว่ามีเหตุผล ด้วยกำลังความสามารถที่น่ากลัวเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ แค่นิ้วมือนิ้วเดียวก็เพียงพอที่จะกวาดทุกคนในนิกายหู้ซานจงจนสิ้น ถ้าหากว่าเขาต้องการคิดร้ายกับนิกายหู้ซานจงพวกเขาจริง มันเป็นเรื่องที่ง่ายยิ่งกว่าปอกกล้วยเข้าปากเสียอีก พูดไม่น่าฟังก็คือ แค่มือข้างเดียวของเขาก็สามารถทำลายล้างนิกายหู้ซานจงได้ทั้งหมด
ถ้าหากเขาทำลายล้างนิกายหู้ซานจงเสีย เขามิใช่ทำอะไรก็ได้ตามอำเภอใจ ต้องการอะไรก็หยิบอะไรมิใช่รึ?
“ข้าก็รู้สึกเป็นเช่นนั้น ผู้อาวุโสผู้นี้มีกำลังความสามารถเหนือกว่าจินตนาการพวกเรามากทีเดียว หากเขาต้องการสิ่งใด มิง่ายยิ่งกว่าล้วงกระเป๋าเสียอีก” ผู้อาวุโสอีกผู้หนึ่งก็พยักหน้าเห็นด้วย
ทุกคนต่างนิ่งเงียบ แม้ว่าคำพูดนี้ไม่น่าฟัง แต่ว่ามันคือความจริง หอเก็บคัมภีร์ของพวกเขานับว่าลึกลับมาก ระบบป้องกันแข็งแกร่งมากพอแล้วกระมัง ได้ชื่อว่าเป็นสถานที่ที่มีระบบป้องกันที่แกร่งมากที่สุดของนิกายหู้ซานจงของพวกเขา มีปรัชญาเมธีแต่ละรุ่นปลุกเสกมา มีการปลุกเสกจากราชันแท้จริงแต่ละรุ่น กระทั่งแม้แต่ผู้เฒ่าอมตะ ปฐมบรรพบุรุษก็ได้ปลุกเสกมา แต่ เขาต้องการเคล็ดวิชาลับ ยังมิใช่ยื่นมือไปหยิบเอามา ง่ายเหมือนหยิบของออกจากกระเป๋าตน
ถ้าหากคนที่แข็งแกร่งเฉกเช่นหลี่ชิเย่ ตั้งใจคิดวางแผนหวังผลสิ่งใดสิ่งหนึ่งของนิกายหู้ซานจงล่ะก็ ไหนเลยต้องเปลืองแรงขนาดนี้ หยิบเอาไปตรงๆ ก็สิ้นเรื่อง พวกเขาที่อยู่ในนิกายหู้ซานจงไม่มีใครสามารถต้านเขาได้สักคน และไม่มีใครสามารถขวางเขาได้สักคน
“ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เขามุ่งหวังคืออะไร?” มีผู้อาวุโสที่ไม่เข้าใจ
เป็นความจริงที่ปัญหาข้อนี้ทำให้ทุกคนไม่สามารถตอบได้ ในเวลานี้บรรดาผู้อาวุโส ผู้คุมกฎทั้งหมดล้วนแล้วแต่มองหน้าซึ่งกันและกัน ผู้ที่ดำรงอยู่ในฐานะอาศัยเพียงนิ้วมือนิ้วเดียวก็สามารถทำลายนิกายหู้ซานจงของพวกเขาได้ ช่างเป็นบุคคลที่แข็งแกร่งเพียงใด? ในสายตาของผู้ที่อยู่ในฐานะเช่นนี้ นิกายหู้ซานจงของพวกเขาเป็นเพียงอารามที่เก่าซอมซ่อแห่งหนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงแอ่งน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น
ตามหลักแล้ว เฉกเช่นผู้ดำรงอยู่ในฐานะเช่นหลี่ชิเย่คือบุคคลระดับราชันแท้จริงสูงสุด หรือราชันแท้จริงบนฟากฟ้า เขาไม่มีความจำเป็นต้องรั้งอยู่ที่นิกายหู้ซานจงที่เป็นเพียงอารามที่เก่าซอมซ่อแห่งหนึ่งแอ่งน้ำเล็กๆ แห่งหนึ่งเท่านั้น
แต่ว่า เวลานี้หลี่ชิเย่กลับจะรั้งอยู่ในนิกายหู้ซานจง และรับช่วงปกครองนิกายหู้ซานจงตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้คนรู้สึกไม่น่าเชื่อ
สิ่งนี้ก็คือเรื่องที่บรรดาผู้อาวุโส ผู้คุมกฎทั้งหมดของนิกายหู้ซานจงคิดเท่าไรก็ไม่เข้าใจ
“เหมือนดั่งที่ผู้อาวุโสผู้นี้ได้พูดเอาไว้อย่างนั้น” สุดท้าย เฉินเหวยเจิ้งในฐานะเจ้านิกายได้กล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า “เขามาเพื่อพัฒนาให้นิกายหู้ซานจงพวกเราได้เจริญรุ่งเรือง เขาโกรธที่พวกเราซึ่งเป็นชนรุ่นหลังไม่เอาไหน ดังนั้น จึงได้เข้ารับตำแหน่งปกครองนิกายหู้ซานจงพวกเราด้วยตนเอง เขากับปฐมบรรพบุรุษพวกเรามีความสัมพันธ์ที่ยิ่งใหญ่มาก”
“คำ คำพูดนี้เชื่อได้รึ?” มีผู้คุมกฎที่อดลังเลใจไม่ได้
จะอย่างไรเสีย ให้บุคคลภายนอกคนหนึ่งมาปกครองสำนักของตน เป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ตามต้องรู้สึกไม่สบายใจ ไม่ว่าใครก็ต้องฉงน หากจู่ๆ หลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงบุคคลภายนอกคนหนึ่งมาปกครองนิกายหู้ซานจงของพวกเขากะทันหัน พวกเขาไม่สงสัย นั่นเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้
“พวกท่านลองนึกดูให้ดี” เจ้านิกายเฉินเหวยเจิ้งกล่าวด้วยท่าทีจริงจังว่า “หอเก็บคัมภีร์ของพวกเราเป็นสถานที่เช่นใด ทุกคนอย่างได้ลืมไปสิ มันได้รับการปลุกเสกโดยปฐมบรรพบุรุษมาก่อน แล้วมาดูที่รากฐานที่เป็นธาตุแท้ภายในของนิกายหู้ซานจงพวกเรา นั่นมันเป็นรากฐานที่ผ่านที่ตอกย้ำโดยปรัชญาเมธีคนแล้วคนเล่ามา และมีแรงกายแรงใจของปฐมบรรพบุรุษด้วย ลองนึกดู ขณะผู้อาวุโสผู้นี้ยื่นมือไปหยิบเอาเคล็ดวิชาลับ และปลุกฐานรากธาตุแท้ภายในให้ตื่นนั้น เขาได้รับการต่อต้าน ได้รับการต่อต้าน ได้รับการโจมตีหรือไม่…”
“…เขาไม่ได้ได้รับการต่อต้าน ไม่ได้รับการโจมตีแม้แต่น้อย ถ้าหากว่าเขากับปฐมบรรพบุรุษของพวกเราไม่มีความสัมพันธ์ล่ะก็ เกรงว่าจะต้องได้รับการโจมตีจากพลังของปฐมบรรพบุรุษ เวลานี้เขาไม่ได้ได้รับการต่อต้านจากพลังของปฐมบรรพบุรุษแม้แต่น้อย มิเท่ากับเป็นการบ่งบอกว่าเขากับปฐมบรรพบุรุษมีความสัมพันธ์กันมาก แล้วจะเป็นอะไรไปได้?”
การวิเคราะห์อย่างละเอียดของเฉินเหวยเจิ้งทำให้ผู้อาวุโสและผู้คุมกฎจำนวนไม่น้อยต่างทยอยกันพยักหน้าเห็นด้วย
“ข้าก็รู้สึกว่าเป็นเช่นนั้น” ผู้อาวุโสที่มีอายุมากพยักหน้าและกล่าวท่าทีจริงจังว่า “ต่อให้เขาแข็งแกร่งมากกว่านี้ แต่ว่าก็ไม่สามารถบอกว่าไม่ถูกปฏิเสธโดยพลังของปฐมบรรพบุรุษ เหมือนว่าเขาสามารถหลอมรวมเข้าด้วยกันกับพลังของปฐมบรรพบุรุษอย่างนั้น เหมือนว่าเขากับปฐมบรรพบุรุษก็คือครอบครัวเดียวกันอย่างนั้น การหลอมรวมพลังเข้าด้วยกันในลักษณะเช่นนี้ไม่ควรเป็นบุคคลภายนอกจึงจะถูก”
“ดังนั้นจึงกล่าวได้ว่า บางทีนี่อาจเป็นโอกาสของพวกเรา” สุดท้าย เฉินเหวยเจิ้งกล่าวด้วยท่าทีหนักแน่นจริงจังว่า “ทุกคนก็เห็นแล้วว่า พลังแฝงที่เป็นรากฐานของนิกายหู้ซานจงได้ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาแล้ว นี่เป็นโอกาสทองในการฝึกปรือ ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า เป็นความจริงที่การรีดพลังแฝงของฐานรากลักษณะเช่นนี้ส่งผลกระทบที่ไม่ดีต่อนิกายหู้ซานจง…”
“…แต่หากพวกเราเสื่อมและอ่อนแอลงเรื่อยๆ ไหนเลยจะไม่เหมือนกับกบที่ถูกต้มอยู่ในน้ำอุ่น กว่าจะรู้สึกตัวก็สายเกินไปเสียแล้ว ท้ายที่สุดยังคงมิใช่ล่มสลายเช่นกันรึ? เวลานี้มีโอกาสเช่นนี้แล้วไฉนไม่คว้าเอาไว้ให้แน่น พยายามลุกขึ้นเพื่อโบยบินอยู่บนเส้นทางของการพัฒนาให้เจริญรุ่งเรือง ไม่แน่นัก จากการพยายามของคนรุ่นพวกเราสามารถทำให้นิกายหู้ซานจงพวกเรามีโอกาสพัฒนาให้เจริญรุ่งเรืองขึ้นมาใหม่”
เมื่อเฉินเหวยเจิ้งพูดมาถึงตรงนี้ ท่าทางมีอารมณ์ที่ตื่นเต้นอยู่บ้าง จะอย่างไรเสียเขาได้ครุ่นคิดอย่างหนักว่าจะพัฒนานิกายหู้ซานจงให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างไร แต่ก็ไม่มีโอกาสตลอดมา และปราศจากกำลัง
เวลานี้กล่าวสำหรับเขาแล้วการมาถึงของหลี่ชิเย่ไหนเลยจะไม่ใช่โอกาส เขาสมควรคว้าโอกาสนี้เอาให้มั่น ไม่ควรพลาดโอกาสที่หาได้ยากเช่นนี้ไป
“ถูกต้อง พวกเราไม่สามารถพลาดโอกาสนี้ไป ทุกคนดูสิ พลังสัจธรรมตลบอบอวลไปทั่วทั้งนิกายหู้ซานจง ภายใต้พลังสัจธรรมที่ตลบอบอวลเช่นนี้ การฝึกปรือของพวกเราจะง่ายกว่าทุกช่วงเวลาที่ผ่านมา ถ้าหากในขณะนี้ยังคงไม่สามารถคว้าโอกาสนี้เอาไว้ ไม่แน่นักยุคต่อจากนี้ไปของนิกายหู้ซานจงอาจจะล่มสลายลงอย่างแท้จริง พวกเราก็จะกลายเป็นคนบาปที่แท้จริงของนิกายหู้ซานจง” มีระดับผู้อาวุโสพูดขึ้นมาด้วยความฮึกเหิม
ในเวลานี้ ผู้อาวุโสและผู้คุมกฎจำนวนไม่น้อยก็เผยให้เห็นถึงความตื่นเต้นดีใจออกมา
การเสื่อมลงของนิกายหู้ซานจงทำให้พวกเขารู้สึกสิ้นหวังอยู่บ้าง แทบจะไม่คาดหวังอีกแล้ว พวกเขาได้ตกลงสู่การเป็นพรรคขนาดเล็กไปแล้ว
มาวันนี้ กลับจะมีโอกาสเช่นนี้ ให้พวกเขาได้มองเห็นความหวังที่จะสร้างความเจริญรุ่งเรืองให้กับนิกายหู้ซานจง พวกเขาไหนเลยจะนั่งมองตาปริบๆ ให้โอกาสหลุดลอยไปได้อย่างใดเล่า?
ในเวลานี้ ผู้คุมกฎและผู้อาวุโสของนิกายหู้ซานจงที่ระแวงตั้งแต่แรกเริ่ม ท่าทีที่ปฏิเสธค่อยๆ เปลี่ยนแปลงกลับ เริ่มให้การยอมรับในตัวหลี่ชิเย่ที่เป็นปรมาจารย์หนุ่ม พวกเขาได้ถือเอาหลี่ชิเย่เป็นผู้อาวุโส เป็นปรมาจารย์ของพวกเขาแล้วโดยไม่รู้ตัว
ขณะที่กัวเจียหุ้ย กับจ้าวจื้อถิงก็ฝึกปรือด้วยความพยายามและขยันหมั่นเพียร
เนื่องจากนิ้วมือนิ้วเดียวได้นำพาความสะเทือนหวั่นไหวมากมายเหลือเกิน ในความคิดของพวกเขามองว่า นับว่าแข็งแกร่งมากพอแล้ว แต่ทว่า หลี่ชิเย่อาศัยนิ้วมือเพียงนิ้วเดียวก็เอาชนะพวกเขาทุกคน
มีผู้ที่แข็งแกร่งเช่นนี้อยู่ข้างกาย แล้วตนเองยังไม่คว้าโอกาสให้มั่น ต่อแต่นี้ยังจะมีโอกาสที่ฟ้าประทานให้เช่นนี้อีกเมื่อไหร่กัน?
……………………………………………