จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2760
ตอนที่ 2760 เทพทวาร
ในวันเดียวกันนั่นเอง ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางพลันเป่าประกาศออกมากะทันหัน “ผู้ใดสังหารศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง โทษสมควรตายหมื่นครั้ง เที่ยงวันนี้จะจัดการลงโทษตามกฎหมายกับคนร้าย ด้วยการจุดตะเกียงสวรรค์ แก้แค้นให้กับศิษย์ที่ตายไป”
การที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางปล่อยข่าวเช่นนี้ออกมากะทันหัน ทำให้ผู้คนจำนวนมากรู้สึกงงงัน ผู้คนจำนวนไม่น้อยยังไม่ทันเข้าใจในเรื่องราว จะอย่างไรเสีย ไม่นานมานี้เองธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางก็ได้กล่าวคำนักเลงขึ้นมาแล้ว
“ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางได้จับตัวศิษย์พวกนั้นของนิกายหู้ซานจง คิดจะแก้แค้นให้กับสาวใช้ของนาง จะทำการจุดตะเกียงสวรรค์ภายในตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราว” มีผู้ที่ไปสืบข่าวมาได้อย่างรวดเร็ว และข่าวนี้ก็ได้แพร่สะพัดไปทั่วเมืองโบราณภายในระยะเวลาอันสั้น
“จุดตะเกียงสวรรค์นะเนี่ย นับว่าธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางปฏิบัติการได้เข้มงวดและรวดเร็วโดยแท้ เพิ่งมาถึงเมืองโบราณก็จะจัดการจุดตะเกียงสวรรค์กับคนร้ายที่สังหารโจวจือฉิงเสียแล้ว นับว่าแข็งกร้าวยิ่ง” ยอดฝีมือถึงกับทอดถอนใจขึ้นมาหลังจากได้รับข่าวนี้แล้ว
จุดตะเกียงสวรรค์ก็คือจับเอาคนมาเผาทั้งเป็น และไฟที่ใช้เผาไม่ใช่ไฟธรรมดาทั่วไป แต่เป็นไฟโลกันตร์ ที่น่ากลัวมากที่สุดก็คือ ไม่ได้ใช้ไฟโลกันตร์เผารวดเดียวให้ตาย แต่เป็นการอาศัยไฟโลกันตร์ค่อยๆ ไหม้ไปทีละนิดๆ ซึ่งขั้นตอนระหว่างนี้ไฟโลกันตร์จะมุดเข้าไปในกระดูก ค่อยๆ เผาไหม้ไปเรื่อยๆ อย่างช้าๆ ผู้ที่ถูกไฟโลกันตร์เผาไหม้ไปทีละนิดๆ อย่างช้าๆ นั้นจะได้รับความเจ็บปวดทรมานอย่างแสนสาหัส เสียงร้องน่าเวทนาจะแหลมและเศร้ารันทดไม่ขาดสาย จนกว่านาทีสุดท้ายที่เสียชีวิตไป
เรียกได้ว่า จุดตะเกียงสวรรค์นี้เป็นวิธีการที่โหดร้ายทารุณอย่างยิ่ง และเป็นการตายอย่างเจ็บปวดทรมานที่สุดอย่างหนึ่ง
ขณะที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางเพิ่งจะมาถึงเมืองโบราณได้ไม่นาน ก็จับเป็นศิษย์ของนิกายหู้ซานจงเหล่านั้นที่เป็นผู้สังหารโจวจือฉิง ทั้งออกคำสั่งจับพวกเขาไปจุดตะเกียงสวรรค์ในเที่ยงวันพรุ่งนี้ สิ่งนี้ทำให้ผู้คนอดที่จะสั่นเทาในใจไม่ได้
ทุกคนต่างเข้าใจ ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางนับเป็นคนโหดคนหนึ่งโดยแท้ วิธีการเลือดเย็นไร้ความปรานี อีกทั้งปฏิบัติการได้เข้มงวดและรวดเร็วยิ่ง
“นิกายหู้ซานจงไม่ควรเป็นศัตรูกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง การไปหาเรื่องกับธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางที่เป็นคนประเภทเลือดเย็นแข็งกร้าว นับเป็นการรนหาที่ตายเอง เกรงว่าอีกไม่นานนิกายหู้ซานจงก็ต้องหายวับไปกับตาในพริบตา” ผู้อาวุโสนิกายเก่าแก่โบราณส่ายหน้าเบาๆ
“ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงจะลงมือหรือไม่นะ? เป็นเรื่องที่คู่ควรแก่การเฝ้ารอนะเนี่ย” มีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในอารมณ์เฝ้าดูชมความคึกครื้น ทุกคนต่างต้องการเห็นปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงอาละวาดตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง
จะอย่างไรเสีย กำลังความสามารถของปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงเป็นสิ่งที่ทุกคนประจักษ์แก่สายตา ขณะที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางก็หาใช่คนที่จะไปหาเรื่องนางได้ง่ายๆ เมื่อไรที่ทั้งสองคนขัดแย้งปะทะกันขึ้น ย่อมจะเป็นลักษณะของเสือพบสิงห์
“ต่อให้ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงแข็งแกร่งมากกว่านี้ ต่อให้เขากล้าบุกเข้าไปในตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง เกรงว่าจะไม่สามารถมีชีวิตกลับออกมาได้ ชัดเจนมาก คราวนี้ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางได้เตรียมการมาอย่างดี กระทั่งด้านหลังของนางมีระดับบรรพบุรุษให้การคุ้มครองนางอยู่” มียอดฝีมือที่ส่ายหน้าเบาๆ
“การที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางจับศิษย์ของนิกายหู้ซานจงมาจุดตะเกียงสวรรค์นั้น เกรงว่าก็คือต้องการล่อให้ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงเข้าไปติดกับเอง ขอเพียงเขากล้าเหยียบเข้าตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวครึ่งก้าว ก็อย่าหวังจะได้กลับออกมาอีกเลย ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางจะต้องจับเขาป่นกระดูกและโปรยเถ้ากระดูกของเขาแน่นอน นางจะไม่ยอมปล่อยให้มีใครสักคนที่มาท้าทายอำนาจดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางพวกเขาแล้วยังคงลอยนวล” มีบรรพบุรุษเอ่ยขึ้นมาช้าๆ
แม้ว่าทุกคนต่างเคยเห็นกำลังความสามารถของปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจง แต่ว่า ทุกคนล้วนแล้วแต่ไม่สนับสนุนในตัวของหลี่ชิเย่ จะอย่างไรเสียธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางมีคนอยู่เป็นจำนวนมาก และธาตุแท้ภายในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางก็ลึกล้ำยากจะหยั่งถึง
มาคราวนี้ การที่ธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางกล้าจับนิกายหู้ซานจงมาเชือด ย่อมบ่งบอกว่านางมีความมั่นใจเต็มเปี่ยมว่าสามารถสังหารปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงได้ กระทั่งทำลายล้างนิกายหู้ซานจงเสีย
“ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงออกปฏิบัติการแล้ว” ขณะที่ยังมีคนบางคนคาดเดาว่าหลี่ชิเย่จะลงมือไปช่วยศิษย์เหล่านั้นของนิกายหู้ซานจงหรือไม่นั้น ปรากฏข่าวที่แพร่ออกมาในเมืองโบราณทันที
ในเวลานี้ ยอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนจำนวนมากต่างทยอยกันลงถนนเพื่อคอยดู ทุกคนล้วนแล้วแต่ต้องการมองเห็นปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงอาละวาดตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางด้วยสายตาของตนเอง แม้ว่าทุกคนต่างไม่สนับสนุนในตัวปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจง แต่ว่า ผู้คนจำนวนมากก็ต้องการรู้ว่าปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงผู้นี้แข็งแกร่งเช่นใด ขณะเดียวกัน ก็อยากรู้ว่าธาตุแท้ภายในของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางลึกล้ำยากจะหยั่งถึงเพียงใด
ณ ถนนใหญ่ เฉินเหวยเจิ้งกำลังเข็นเก้าอี้ล้อเลื่อนเคลื่อนไปช้าๆ ด้านข้างเก้าอี้รถเข็นมีกัวเจียหุ้ยเคียงข้างหลี่ชิเย่ที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อนหลับตาพักผ่อนกายาเสมือนดั่งนอนหลับไปแล้วอย่างนั้น ท่าทางของเขาดูสงบนิ่งมาก เหมือนว่าไม่มีท่าทีของศึกใหญ่ที่กำลังมาถึงอย่างสิ้นเชิง ยังคงเงียบสงบสบายอกสบายใจ
ผู้คนจำนวนมากต่างออกมาเฝ้าดูชมบนถนน มีอยู่จำนวนไม่น้อยที่กลั้นลมหายใจเอาไว้ ล้วนแล้วแต่ต้องการดูว่าศึกใหญ่ที่กำลังจะระเบิดขึ้นจะตื่นเต้นระทึกขวัญเช่นใด
ไม่นานนัก พวกของหลี่ชิเย่สามคนก็ได้มาถึงด้านหน้าตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางที่อยู่ในเมืองโบราณ เมื่อทอดสายตามองออกไป ตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวทั้งหลังคล้ายดั่งเป็นป้อมปราการอย่างนั้น โดยตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวทั้งหลังดูมืดตีดตื๋อไปหมด เสมือนดั่งสร้างขึ้นมาจากโลหะศักดิ์สิทธิ์อย่างนั้น โดยตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวทั้งหลังได้เปล่งกลิ่นอายที่แข็งแกร่งและทรงพลังยิ่ง ดูไปแล้วภาพรวมของตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวทั้งหลังไม่เพียงแต่มีความเข้มงวดอย่างยิ่ง ยังมีความแข็งแกร่งยากที่จะตีแตกได้
เมื่อยืนอยู่ด้านหน้าของตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวเช่นนี้ ให้ความรู้สึกผู้คนถึงความอึดอัดอย่างหนึ่ง เหมือนว่าภายในตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวมีกองทัพนับพันนับหมื่นอย่างนั้น ทำให้ผู้คนต่างรู้สึกหวั่นเกรง และต้องเดินอ้อมกันไป
“สาขาประตูศักดิ์สิทธิ์มาแล้ว” ผู้อาวุโสของสำนักเจ้าลัทธิที่มองเห็นตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางที่เป็นเหมือนกำแพงทองแดงผนังเหล็กเช่นนี้ จึงกล่าวว่า “สาขาประตูศักดิ์สิทธิ์ได้จัดการเฝ้ารักษาตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวทั้งหลังอย่างแน่นหนา แข็งแกร่งจนยากจะตีแตก”
“ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงคิดจะบุกเข้าไปช่วยคน จะต้องทำลายกำแพงทองแดงผนังเหล็กของสาขาประตูศักดิ์สิทธิ์เสียก่อน” มียอดฝีมือถึงกับพยักหน้าเอ่ยขึ้น เมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว
สาขาประตูศักดิ์สิทธิ์คือหนึ่งในสาขาขนาดใหญ่ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง สาขาดังกล่าวมีกำลังที่เข้มแข็งมาก เรื่องของวิชาการป้องกันนั้นขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งไม่มีสองในหล้า เมื่อไรที่ให้ทางสาขาประตูศักดิ์สิทธิ์ทำการก่อระบบป้องกันด้วยตนเองล่ะก็ ย่อมเรียกว่าแข็งแกร่งอย่างยิ่ง น้อยคนนักที่จะตีแตกได้
ปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น พื้นดินสั่นทะเทือนหวั่นไหวทีหนึ่ง จังหวะที่พวกของหลี่ชิเย่เดินทางมาถึงด้านนอกของตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวนั้น ประตูใหญ่ของตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวปิดตาย เสมือนหนึ่งเป็นกำแพงขนาดยักษ์สูงใหญ่อย่างนั้น
ในเวลานี้เอง เห็นมนุษย์ยักษ์คนหนึ่งยืนอยู่ตรงด้านหน้าประตูเมือง ขณะที่ก้าวเท้าไปก้าวหนึ่ง ก็จะปรากฏเสียงดังปัง พื้นดินสั่นไหวโคลงเคลงทีหนึ่ง เหมือนว่าสามารถเหยียบพื้นดินจนแหลกละเอียดได้ทุกเวลาอย่างนั้น
ผู้คนจำนวนมากต่างแหงนหน้ามอง เมื่อมนุษย์ยักษ์ผู้นี้ยืนอยู่ตรงหน้า
มนุษย์ยักษ์ผู้นี้สูงใหญ่กว่าชายฉกรรจ์สามคนเสียอีก เอวกลมไหล่กว้าง สวมชุดเกราะสีดำทั้งตัว แม้แต่แขนที่โผล่ออกมาก็ดูเป็นสีดำ เหมือนหลอมสร้างขึ้นมาจากโลหะนิลอย่างนั้น และมนุษย์ยักษ์ผู้นี้ก็คล้ายดั่งเป็นภูเขาเหล็กที่ยืนอยู่ตรงหน้า ให้ความรูสึกที่กดดันอย่างหนึ่งกับผู้คน
“เทพทวาร เขาคือแขนซ้ายแขนขวาของหัวหน้าสาขาประตูศักดิ์สิทธิ์ มีความอดทนต่อการทุบตีอย่างยิ่ง ร่างกายสามารถรองรับการทุบตีได้สูงมาก” ยอดฝีมือถึงกับสะท้านในใจ เมื่อมองเห็นมนุษย์ยักษ์ที่เสมือนดั่งเป็นเหล็กกล้ายืนอยู่ตรงนั้น และกล่าวว่า “ครั้งนั้นเขาเคยเฝ้ารักษาด่าน ต้องรับกับการโจมตีของผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเขากว่าสิบคน แต่ว่า ท้ายที่สุดแล้วเขาสามารถเฝ้าด่านเอาไว้ได้สำเร็จ ทำให้ศัตรูไม่สามารถล่วงล้ำไปได้แม้เพียงครึ่งก้าว ดังนั้น จึงถูกผู้คนยกย่องว่าเป็นเทพทวาร”
มนุษย์ยักษ์ผู้นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็นเทพทวาร คือยอดฝีมืออันดับต้นๆ ของสาขาประตูศักดิ์สิทธิ์ ไม่เพียงแต่การปกป้องของเขาที่แข็งแกร่งมาก ไม่เพียงแต่การป้องกันของเขานั้นทรงพลังมากเท่านั้น และกายเนื้อของเขาสามารถรองรับพลังที่แข็งแกร่งยิ่ง เนื่องจากเขามีชาติกำเนิดมาจากเผ่าอื่น ร่างกายของเขาสามารถรองรับการโจมตีของอาวุธได้โดยตรง
“ผู้ที่มาคือใคร…” เทพทวารยืนสูงเด่นอยู่ตรงนั้น ร้องกล่าวเสียงทุ้มต่ำขึ้นมา เสียงนั้นดังจนแก้วหูแทบแตก
“ปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจง” หลี่ชิเย่ยังนอนไม่ตื่น เฉินเหวยเจิ้งกล่าวเสียงทุ้มต่ำออกไป “ขอใหดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางปล่อยศิษย์นิกายหู้ซานจงพวกเรา!”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า…” เทพทวารหัวเราะเสียงดังขึ้นมา เสียงหัวเราะของเขาเสมือนดั่งเสียงฟ้าร้อง และกล่าวว่า “พวกเจ้าก็คือนิกายหู้ซานจงที่ไม่รู้จักฟ้าสูงแผ่นดินต่ำนั่นรึ?”
ครั้นเทพทวารเอ่ยมาถึงตรงนี้ได้หุบยิ้ม สีหน้าพลันดูเย็นชา ก้มมองพวกของเฉินเหวยเจิ้ง กล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “ในสายตาดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางพวกเรา นิกายหู้ซานจงพวกเจ้าเป็นเพียงมดปลวกบนพื้นดินตัวหนึ่งเท่านั้น เจ้าคนที่ไม่รู้จักคำว่าตาย ถึงกับหาญกล้าสังหารศิษย์ของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง นิกายหู้ซานจงพวกเจ้าเตรียมถูกทำลายล้างก็แล้วกัน”
“พูดแบบนี้ พวกเจ้าคือไม่ปล่อยคนน่ะสิ?” ขณะที่เทพทวารพูดขาดคำ เสียงเรียบเฉยเสียงหนึ่งดังขึ้น
ในเวลานี้ หลี่ชิเย่ได้ตื่นขึ้นมาแล้ว ยังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน ท่าทางเอ้อระเหย
“ปล่อยคน…” เทพทวารหัวเราะเสียงดัง และกล่าวว่า “ฝันกลางวันรึ เมื่อพระอาทิตย์ขึ้นกลางหาวก็จะจับพวกเขาจุดตะเกียงสวรรค์ ถึงตอนนั้น เสียงร้องที่แหลมและน่าเวทนาก็จะดังก้องไปทั่วเมืองโบราณ นี่แหละคือจุดจบของการเป็นศัตรูกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางของพวกเรา”
ครั้นเทพทวารเอ่ยมาถึงตรงนี้ ได้ก้มมองหลี่ชิเย่กล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “เจ้าก็คือปรมาจารย์ของนิกายหู้ซานจงคนนั้นน่ะสิ? ฮ่า ฮ่า ฮ่าเป็นปรมาจารย์แล้วอย่างไร ก็แค่หัวหน้ามดปลวกตัวหนึ่งในรังมดเท่านั้น ธิดาศักดิ์สิทธิ์ของพวกเรามีบัญชา เวลานี้เจ้าคุกเข่าที่หน้าประตู หักแขนขาตัวเองแล้วคลานเข้าไปยอมรับผิดต่อธิดาศักดิ์สิทธิ์ สุดท้ายจัดการกับตัวเอง บางทีธิดาศักดิ์สิทธิ์พวกเราอาจมีเมตตา ให้อภัยนิกายหู้ซานจงของพวกเจ้า”
คำพูดของเทพทวารยกตนข่มท่าน ไม่เห็นพวกของหลี่ชิเย่อยู่ในสายตาอยู่แล้ว ซึ่งก็ใช่เป็นเรื่องแปลก จะอย่างไรเสียเวลานี้กองทัพนับล้านของธิดาศักดิ์สิทธิ์ดินแดนภาคกลางก็อยู่ภายในตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราว ถ้าจะสังหารหลี่ชิเย่ที่เป็นเพียงปรมาจารย์ของสำนักขนาดเล็กมันง่ายยิ่งกว่าพลิกฝ่ามือเสียอีก
ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางย่อมเป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง มีความมั่นใจเต็มเปี่ยม และใช่อำนาจบาตรใหญ่โดยแท้ ทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยต้องทอดถอนใจออกมา
แต่ว่า ไม่ว่าใครก็ตามล้วนแล้วแต่รู้สึกจนด้วยเกล้าในใจ กำลังของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางเห็นๆ อยู่ตรงนั้น พวกเขามีต้นทุนพอที่จะอวดดี
“ขอละเว้น?” หลี่ชิเย่ยิ้มเรียบเฉยและกล่าวว่า “พวกเจ้าคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว ที่ข้ามาวันนี้ก็เพื่อสังหารสิ้นศิษย์ทั้งหมดของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางพวกเจ้า ตัดหัวธิดาศักดิ์สิทธิ์พวกเจ้า ผู้ใดแตะต้องศิษย์ในสำนักของข้า ตาย!”
“กล้ามาก…” ผู้คนจำนวนมากตะลึงนิดหนึ่ง เมื่อได้ยินคำพูดที่พาลเช่นนี้ของหลี่ชิเย่ แม้ต้องเผชิญกับดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง ยังคงพูดคำพูดที่พาลเช่นนี้ออกมา เกรงว่าทอดสายตาไปทั่วระบบถ่ายทอดทางความคิดด้านลัทธิเซียนมารก็คงมีไม่กี่คน
“คำพูดนักเลงใครก็พูดได้ ต้องมีฝีมือตามนั้นให้ได้ เกรงว่าเมื่อเหยียบเข้าไปในตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราว ก็คือการรนหาที่ตายเอง” แต่ก็มีผู้ที่ไม่คิดเช่นนั้น
“เจ้าคนที่ไม่เจียมตัว กล้าพูดจาสามหาว” เทพทวารร้องเสียงดังขึ้นมาและกล่าวว่า “วันนี้ ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางของพวกเราจะต้องสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น ป่นและโปรยกระดูกของเจ้า…”
“กระบี่…” หลี่ชิเย่ยื่นมือออกไป และเอ่ยเสียงเรียบเฉย
กัวเจียหุ้ยชักกระบี่ประจำตัวของตนออกมา แล้ววางบนฝ่ามือของหลี่ชิเย่
“ข้าจะไม่รังแกเจ้า สามารถรับมือข้าได้หนึ่งกระบี่ ละเว้นชีวิตเจ้า” หลี่ชิเย่กำกระบี่ในมือและชี้ไปที่เทพทวาร กล่าวด้วยท่าทีสบายๆ
……………………………………………..