จักรพรรดิบรรพกาล - ตอนที่ 2761
ตอนที่ 2761 อยู่ต่อหน้าข้าไม่มีคำว่าฟันแทงไม่เข้า
“หนึ่งกระบี่…” เทพทวารถึงกับถลึงตามองดูหลี่ชิเย่ด้วยความโกรธ ก้มมองหลี่ชิเย่ที่เอนนอนอยู่บนเก้าอี้ล้อเลื่อน สุดท้ายโกรธจัดจนต้องหัวเราะออกมา และกล่าวว่า “ดี ดี ดี เยี่ยมมาก ถึงกับมีหนึ่งกระบี่ที่เทพทวารอย่างข้ารับไม่ได้”
เมื่อเขาพูดถึงตรงนี้แล้ว สำรวมท่าที และกล่าวน่าครั่นคร้ามว่า “ถ้าหากข้ารับหนึ่งกระบี่ของเจ้าได้ เจ้าจงคลานเข้าไป และร้องแบบสุนัข!”
“ลงมือเถอะ” หลี่ชิเย่ขี้คร้านจะไปมองดูเขาสักครั้ง โดยมีกระบี่ยาวอยู่ในมือ
“ดี ข้ากลับต้องการดูว่าเจ้าจะฆ่าข้าในหนึ่งกระบี่ได้อย่างไร” เทพทวารหัวเราะเสียงดัง เขาไม่เชื่อเรื่องนี้อยู่แล้ว ระบบป้องกันของเขาเรียกได้ว่าแข็งแกร่งปราศจากผู้ต่อกร เขานึกไม่ออกว่าหนึ่งกระบี่ที่จะสังหารเขานั้นมีลักษณะอย่างไร แม้แต่บรรดาบรรพบุรุษที่แข็งแกร่งในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางก็ไม่เห็นจะสามารถสังหารเขาได้ในหนึ่งกระบี่
เสียงตูม…ดังสนั่นขึ้นมาเสียงหนึ่ง ในเวลานี้เสื้อเกราะบนตัวของเทพทวารพลันพวยพุ่งเป็นประกายศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา ขณะที่ประกายศักดิ์สิทธิ์พวยพุ่งขึ้นมานั้น เสมือนดั่งปรากฏกำแพงศักดิ์สิทธิ์ลอยขึ้นมาด้านแล้วด้านเล่า เพียงชั่วพริบตาเดียว ได้อาศัยฟิล์มแสงจากกำแพงศักดิ์สิทธิ์ด้านแล้วด้านเล่าลักษณะเช่นนี้จัดการหุ้มตัวของเทพทวารเอาไว้
ในขณะเดียวกัน พลังลมปราณทั่วตัวของเขาได้พวยพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง ได้ยินเสียงตูม ตูม ตูมดังขึ้น บนตัวของเทพทวารปรากฏอักขระยันต์ขึ้น เหมือนว่าอักขระยันต์เหล่านี้ถูกสลักเอาไว้บนตัวของเขาอย่างนั้น
เมื่อมองดูให้ละเอียดอีกครั้ง ก็จะพบว่าอักขระยันต์เหล่านี้หาใช่เป็นการสลักลงไป แต่มันทะลักออกมาจากภายในร่างกายของเขา เหมือนว่าภายในร่างกายของเขามีบ่อต้นกำเนิดอักขระยันต์ สามารถพวยพุ่งทะลักเป็นอักขระยันต์ที่เหมือนสายน้ำไม่ขาดช่วงอย่างนั้น
เสียงจี๊ด จี๊ด จี๊ดดังขึ้น เมื่ออักขระยันต์ได้ถูกพวยพุ่งออกมาจนหมด พลันก็มีการจับตัวอยู่บนร่างกายของเขา ทำให้ร่างกายของเขาเหมือนมีการหลอมสร้างขึ้นใหม่อีกครั้ง ร่างกายของเทพทวารที่สูงใหญ่อยู่แล้วกลับกลายเป็นสูงใหญ่มากขึ้นไปอีก เพียงชั่วพริบตาเดียวกลับกลายเป็นว่าสูงกว่าเมื่อครู่อีกครึ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่ออักขระยันต์ได้มีการจับตัวและหล่อบนตัวของเขาแล้วนั้น ทำให้ตัวเขาแลดูแข็งแรงและแกร่งมากขึ้นกว่าเดิม ร่างกายของเขาดูไปแล้วก็เหมือนหลอมสร้างขึ้นมาจากสุดยอดเหล็กนิลที่มีเพียงหนึ่งไม่มีสอง แกร่งจนสุดที่จะจินตนาการ
“เป็นความสามารถพิเศษของคนต่างเผ่านะเนี่ย” มีระดับบรรพบุรุษที่มองเห็นร่างกายของเทพทวารถึงกับสามารถอาศัยอักขระยันต์ในการหล่อให้มีความสูงใหญ่มากขึ้นได้ และกล่าวว่า “ตามตำนานเล่าว่า การจับตัวและหล่อกายด้วยอักขระยันต์ของเผ่าดังกล่าวเมื่อถึงขั้นสูงสุดแล้ว สามารถมีกายเพชรในครอบครอง สามารถรองรับการโจมตีได้ทุกประเภท”
ในขณะนี้ แม้ว่าร่างกายของเทพทวารยังห่างไกลยังไม่ถึงขั้นเป็นกายเพชร แต่ว่า ร่างกายของเขามีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง ต่อให้มีอาวุธจำนวนมากโจมตีใส่ร่างของเขาโดยตรง ร่างกายของเขาก็สามารถแบกรับเอาไว้ได้
เสียงปัง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้เอง มองเห็นเทพทวารหยิบเอาโล่ศักดิ์สิทธิ์ที่มีขนาดยักษ์ปราศจากผู้เทียบเทียมออกมาโล่หนึ่ง ขณะที่โล่นี้ตั้งวางอยู่ด้านหน้าของเขานั้น ขณะกระแทกลงพื้น แม้แต่พื้นดินยังถูกทำให้สะเทือนหวั่นไหวโคลงเคลงขึ้นมา
โล่นี้มีขนาดที่ใหญ่ยักษ์มาก สามารถปิดบังร่างกายของเขาได้ทั้งหมด โล่ยักษ์ดังกล่าวได้แผ่กลิ่นอายราชันแท้จริงออกมา เสมือนดั่งเป็นกำแพงราชันแท้จริงด้านหนึ่งที่ขวางอยู่ด้านหน้าของเขา
“โล่เทพแท้จริงนะเนี่ย” มีผู้ที่ทราบถึงประวัติความเป็นมาของมัน เมื่อได้เห็นโล่ยักษ์โล่นี้แล้ว และกล่าวว่า “เล่าลือกันว่า ดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลางได้ควักเงินจำนวนมาก ให้ราชันแท้จริงคนหนึ่งช่วยสร้างโล่ศักดิ์สิทธิ์โล่นี้ขึ้นมาสำหรับเทพทวารเป็นการเฉพาะ”
“เจ้าหนู วันนี้คือวันตายของเจ้า” ภายใต้การป้องกันที่ทรงพลังเช่นนี้ เทพทวารมั่นใจเต็มเปี่ยม เขาไม่เชื่ออยู่แล้วว่าหลี่ชิเย่สามารถสังหารตนได้ในหนึ่งกระบี่ ดังนั้น มืออีกข้างหนึ่งได้เงื้อกระบองยาวขนาดยักษ์ขึ้นมา เมื่อกระบองยาวขนาดยักษ์อยู่ในมือของเขานั้น ประดุจดั่งเป็นเทือกเขาเทือกหนึ่งที่มีความยาวนับหมื่นลี้อย่างนั้น
“ฆ่า…” จังหวะที่ระบบป้องกันทั้งหมดเปิดใช้เต็มที่นั้น เทพทวารมีความรู้สึกได้ว่าตนเองนั้นแข็งแกร่งยากจะตีแตกได้ ไม่มีอาวุธใดๆ สามารถฟันระบบป้องกันของตนได้ขาดในหนึ่งกระบวนท่า ดังนั้น ท่ามกลางเสียงที่ร้องขึ้นมาด้วยความโกรธ กระบองยาวขนาดยักษ์ได้ฟาดลงมาอย่างแรง กระทั่งพื้นดินยังต้องสั่นสะเทือนทีหนึ่ง
“เกรงว่าหนึ่งกระบี่คงสังหารเทพทวารไม่ได้กระมัง” มีผู้สงสัยว่าหลี่ชิเย่จะทำได้หรือไม่ เมื่อเห็นว่าการรุกรับของเทพทวารแข็งแกร่งถึงเพียงนี้
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในพริบตาเดียวนี้เอง หนึ่งกระบี่ของหลี่ชิเย่ได้ฟันออกไป เป็นหนึ่งกระบี่ที่ตามอามรณ์อย่างยิ่ง ไม่มีอานุภาพที่สะเทือนเลื่อนลั่น ไม่ทีพลังที่ปราศจากผู้ต่อกร เห็นเพียงประกายกระบี่แวบวับ เป็นการฟันออกไปตามอารมณ์
หลังจากที่ประกายกระบี่แวบวับไปแล้ว ทุกอย่างก็สุดอยู่เท่านั้น เวลาเหมือนหยุดชะงักนิดหนึ่ง เหมือนว่าพริบตาเดียวนั้นเอง เวลาเหมือนขาดไปช่วงหนึ่ง โดยที่ไม่ทราบว่าเวลาช่วงนี้ถูกใครขโมยไป
แม้แต่เทพทวารที่อยู่ในเหตุการณ์ก็รู้สึกสมองว่างเปล่าไป มองไปรอบๆ ด้วยความงุนงง เมื่อได้สติกลับมาแล้ว ใช้กระบองยาวขนาดยักษ์ในมือชี้ไปที่หลี่ชิเย่และหัวเราะเสียงดัง “ฮ่า ฮ่า ฮ่าเจ้าแพ้แล้ว ร้องแบบสุนัขแล้วคลานเข้าไป”
“เกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ในเวลานี้ทุกคนต่างตะลึงนิดหนึ่ง ทุกคนยังไม่ทันมีปฏิกิริยาตอบสนองว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น
มันไม่ได้มีสิ่งที่ทุกคนได้จินตนาการว่าหลี่ชิเย่อาศัยหนึ่งกระบี่สังหารเทพทวาร และไม่ได้มีภาพของกระบี่ปะทะกับกระบองยาวขนาดยักษ์จนสะเก็ดไฟแตกกระจายตามที่ทุกคนจินตนาการ
ในพริบตาเดียวนี้เอง กาลเวลาเหมือนถูกขโมยไปช่วงหนึ่งอย่างนั้น โดยที่ช่วงเวลาซึ่งถูกขโมยไปนั้นไม่มีใครรู้ว่าได้เกิดอะไรขึ้นในช่วงนั้น และหรือไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย
“ฮ่า ฮ่า ฮ่าเจ้ารีบคลานเข้าไป…” เทพทวารหัวเราะเสียงดัง
แต่ว่า มาคราวนี้เทพทวารพูดไม่จบ ได้ยินเสียงช่าาาดังขึ้น ร่างกายของเขาพลันแยกออกทันที ถูกฟันแบบผ่าครึ่ง เมื่อร่างกายของเขาถูกผ่าครึ่งแยกออกมานั้น เลือดสดๆ อวัยวะตันทั้งห้า และอวัยวะกลวงทั้งหกพลันหล่นลงไปกองกับพื้น ทำให้พื้นเต็มไปด้วยเลือด ลำไส้ที่หล่นพื้นยังคงสามารถเคลื่อนไหวได้อีก
ได้ยินเสียงดังปัง ร่างกายสองซีกของเทพทวารได้ตกลงพื้น โดยนัยน์ตาทั้งซ้ายและขวายังเบิกโพลง ในขณะนี้เขาได้มองเห็นร่างกายของตนหล่นลงพื้นโดยแยกออกไปสองซีก และมองเห็นเลือดของตนที่ค่อยๆ ไหลแพร่ขยายไปอย่างช้าๆ
ในเวลานี้ เทพทวารตกใจจนอยากจะร้องเสียงแหลมออกมา แต่ทว่า ไม่สามารถส่งเสียงออกมาได้อีกแล้ว
ในเวลานี้ ทั่วฟ้าดินเงียบสงัด ทุกคนต่างมองดูภาพเหตุการณ์ตรงหน้าอย่างงๆ ผู้คนจำนวนมากไม่ได้สติกลับมา กระทั่งมีบางคนเหม่อลอย จำรายละเอียดไม่ได้ว่าได้เกิดเรื่องอะไรขึ้น
“รวดเร็วเหลือเกิน หนึ่งกระบี่นี้รวดเร็วเหลือเกิน เร็วจนกระทั่งตัวเองถูกฆ่าตายไปแล้วยังไม่รู้ตัว” เทพแท้จริงขั้นอมตะที่แข็งแกร่งถึงกับใจหายใจคว่ำ เมื่อมองออกถึงความล้ำลึกอย่างน่าอัศจรรย์ของหนึ่งกระบี่นี้แล้ว
แม้แต่เทพทวารเองก็ยังไม่รู้ว่า ขณะที่หนึ่งกระบี่ได้ผ่าร่างกายของเขาออกนั้น เขายังเข้าใจว่าตนเองยังไม่ตาย ดังนั้น จึงได้ร้องเสียงดังต่อหลี่ชิเย่ด้วยความอวดดีเช่นนี้
เมื่อเขาพบว่าตนเองนั้นได้ตายไปแล้วทุกอย่างก็ไม่ทันกาลเสียแล้ว ทุกอย่างได้เป็นที่แน่นอนไปแล้ว
กระบี่นี้รวดเร็วเกินไปแล้ว เหมือนดั่งที่เทพแท้จริงขั้นอมตะผู้นั้นพูดเอาไว้ ขณะที่หนึ่งกระบี่ฟาดฟันลงมานั้น มันรวดเร็วจนกระทั่งเทพทวารเองยังไม่รู้ว่าตัวเองนั้นได้ถูกฆ่าตายไปแล้ว
แหวะ…มีผู้ที่ทนไม่ไหวถึงกับอาเจียนขึ้นมา แม้ว่ายอดฝีมือผู้บำเพ็ญตนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่เคยฆ่าคนมาแล้ว แต่ว่า เฉกเช่นวิธี่การฆ่าคนที่สยองขวัญเช่นนี้ และการตายที่แปลกประหลาดเช่นนี้ ผู้คนจำนวนมากล้วนแล้วแต่เพิ่งได้เคยเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิต ทำให้พวกเขาถึงกับหวาดหวั่นพรั่นพรึง
“อ่อนเหลือเกิน” เวลานี้หลี่ชิเย่พูดออกมาคำหนึ่งด้วยท่าทางสบายๆ ทำให้ทุกคนต่างสั่นเทาทีหนึ่ง
ตึง…เสียงหนึ่งดังขึ้น ในเวลานี้หลี่ชิเย่หนึ่งกระบี่ที่ทิ่มแทงออกไปตามอารมณ์ หนึ่งกระบี่ที่ดั่งทวนยาวแทงออกไปตรงๆ ไม่มีกระบวนท่าพิเศษอะไร เป็นเพียงหนึ่งกระบี่ที่แทงออกไปธรรมดาๆ
ตูม…เสียงหนึ่งที่ดังสนั่น มองเห็นประตูใหญ่ของตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราว และกำแพงเหล็กที่ขวางอยู่ด้านหน้าถูกหนึ่งกระบี่นี้โจมตีจนแตกละเอียด เห็นเศษชิ้นส่วนที่ปลิวว่อน ตามติดด้วยเสียงตูม ตูม ตูมที่เป็นเสียงพังทลายลงมาอย่างต่อเนื่อง มองเห็นกำแพงที่ล้อมรอบตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวซึ่งมีความแข็งแรงยากจะตีแตกได้ล้มพังทลายลงมาทั้งหมดในพริบตา
ในพริบตาเดียวนั่นเอง สิ่งป้องกันที่อยู่ด้านนอกของตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวพังทลายลงทั้งหมดในทันที ภายใต้การอานุภาพการโจมตีของหนึ่งกระบี่ แม้จะเป็นระบบป้องกันเช่นนี้ กำแพงล้อมรอบที่แข็งแกร่งยิ่งก็ไร้ประโยชน์ แตกละเอียดไปในพริบตา
มองเห็นแนวป้องกันที่เป็นกำแพงล้อมรอบมั่นคงแข็งแรงยากจะตีแตกได้ของตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวพังทลายในพริบตา ทำให้ทุกคนอ้าปากกว้างค้างอยู่อย่างนั้น เพียงพริบตาเดียว ตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวทั้งหลังเสมือนหนึ่งไม่ได้จัดให้มีการป้องกันอย่างนั้น
ในเวลานี้เอง เฉินเหวยเจิ้งได้เข็นเก้าอี้ล้อเลื่อนมุ่งหน้าเข้าไปภายในตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวช้าๆ
“พวกเรายังคงประเมินเขาต่ำเกินไปแล้ว” มีเทพแท้จริงขั้นอมตะที่มองดูเงาหลังของหลี่ชิเย่แล้ว ถึงกับสั่นเทิ้มทีหนึ่ง พึมพำเสียงแผ่วเบาว่า “ถ้าหากว่าปรมาจารย์นิกายหู้ซานจงผู้นี้เป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะล่ะก็ ข้าประเมินเผื่อเอาไว้แล้ว เกรงว่าจะต้องเป็นเทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นสิบล้านชาติ!”
“เทพแท้จริงขั้นอมตะ ชั้นสิบล้านชาติ!” ในใจของผู้คนจำนวนไม่น้อยสะท้านทีหนึ่ง เมื่อได้ยินกำลังความสามารถระดับนี้ แม้ว่าสำนักเจ้าลัทธิจำนวนไม่น้อยก็มีบรรพบุรุษระดับเช่นนี้ แต่ว่า บรรพบุรุษระดับนี้ล้วนแล้วแต่เป็นบรรพบุรุษที่ยืนอยู่บนชั้นสูงสุดแล้ว
“ป้องกัน…” ในเวลานี้ เสียงทุ้มต่ำดังขึ้น ตามติดด้วยเสียงตูม ตูม ตูมที่ดังตูมตามขึ้นมา มองเห็นผืนแผ่นดินด้านหน้าพลันมีกำแพงศักดิ์สิทธิ์ดันตัวขึ้นมาบานแล้วบานเล่า เหมือนว่ากำแพงทุกด้านล้วนแล้วแต่สร้างขึ้นโดยอาศัยโลหะศักดิ์สิทธิ์และเหล็กเซียนที่แข็งแกร่งที่สุดหลอมสร้างขึ้นมาอย่างนั้น
ตามติดด้วยเสียงแว้งค์ แวงค์ แวงค์ที่ดังขึ้น มองเห็นกำแพงศักดิ์สิทธิ์แต่ละหลังเปล่งประกายโลหิตขึ้นมา เสมือนดั่งกำแพงศักดิ์สิทธิ์แต่ละด้านในเวลานี้ถูกหลอมกลั่นอย่างนั้น
เพียงพริบตาเดียว กำแพงศักดิ์สิทธิ์แต่ละด้านเหล่านี้ได้เปลี่ยนไป เหมือนกลายเป็นหยกโลหิตแต่ละด้านอย่างนั้น มีความแข็งแกร่งอย่างยิ่ง อีกทั้งภายในหยกโลหิตปรากฏเงาคนมากมาย พลังลมปราณดั่งคลื่นยักษ์ ไม่มีขอบเขตสิ้นสุด
เหมือนว่าภายในกำแพงศักดิ์สิทธิ์หยกโลหิตมียอดฝีมือผู้บำเพ็ญตน เป็นหมื่นเป็นพันกำลังปลุกเสกกำแพงศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้อยู่ กำแพงศักดิ์สิทธิ์ลักษณะเช่นนี้ได้รวบรวมพลังลมปราณ และพลังสัจธรรมของศิษย์จำนวนนับพันนับหมื่นเอาไว้
เหมือนว่าไม่ว่าใครก็ตาม ต่อให้ทำลายกำแพงศักดิ์สิทธิ์จนแตกละเอียดไป แต่ว่า กำแพงศักดิ์สิทธิ์หยกโลหิตแต่ละด้านก็จะทำการหลอมสร้างขึ้นมาใหม่ภายในระยะเวลาอันสั้น
ดังนั้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถตีแตกกำแพงศักดิ์สิทธิ์นี้ลงได้อย่างแท้จริง
“กำแพงที่ไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ของสาขาประตูศักดิ์สิทธิ์” มีอาวุโสรุ่นบุกเบิกของแคว้นเจ้าลัทธิ เมื่อมองเห็นภาพนี้แล้ว และกล่าวว่า “นี่เป็นกำแพงศักดิ์สิทธิ์หยกโลหิตที่หลอมสร้างขึ้นโดยศิษย์จำนวนนับพันนับหมื่นของสาขาประตูศักดิ์สิทธิ์ โดยการรวบรวมเอากำลังกายใจทั้งหมดของพวกเขา กำแพงศักดิ์สิทธิ์แต่ละด้านเหล่านี้ไม่สามารถตีแตกได้”
ภายใต้การปกป้องของกำแพงศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นกำแพงสูงแต่ละด้าน ตำหนักที่มีไว้พักผ่อนชั่วคราวที่เดิมปราศจากการป้องกันพลันกลับกลายเป็นมีการป้องกันอย่างเข้มงวดในพริบตาเดียว ทำให้ผู้คนไม่สามารถก้าวข้ามไปได้แม้เพียงครึ่งก้าว
ทุกคนต่างก็ทราบดีว่า สาขาประตูศักดิ์สิทธิ์คือสาขาที่มีความแข็งแกร่งยิ่งของดินแดนศักดิ์สิทธิ์ภาคกลาง ได้รับการยกย่องว่าการป้องกันนั้นปราศจากผู้ต่อกร
…………………………………………….