เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? - ตอนที่ 101

< < 82 > >
“แฮก..แฮก..แฮก..บัดซบเอ้ย”
อัศวินเกราะสีขาว บัดนี้ได้เปลี่ยนไปเป็นอัศวินเกราะสีเลือดแล้ว
ราชาอัศวินผู้สูงส่งถูกส่งลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้น ความสูงส่งที่มีมาทั้งหมดถูกบดขยี้
ลมหายใจที่มั่นคงได้แปรเปลี่ยนไปเป็นลมหายใจที่คล้ายจะดับทุกย่อมหญ้า
แต่ถึงกระนั้น ราชาอัศวินก็ยังไม่ยอมแพ้ มีแค่แววตาที่ไม่เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย ต่อให้ต้องเผชิญหน้ากับตัวประหลาดที่แข็งแกร่งที่สุดบนโลก และได้รับประสบการณ์การต่อสู้ที่ย่ำแย่ แต่จิตใจก็ยังไม่แหลกสลาย
นั่นแหละที่มาของชื่อราชาอัศวิน เขาคือผู้คู่ควรกับตำแหน่งนี้
ตัวผู้ที่กระทืบราชาอัศวินซะย่อยยับเองก็ยอมรับในฉายานั่นของชายคนนี้
“สภาพย่ำแย่น่าดูเลยนะครับ ที่อยู่รอดถึงตอนนี้ได้เป็นเพราะเกราะ ‘อิจิส’ ล้วนๆเลยก็จริง แต่ ..ถ้ายังดันทุรังไปต่อ–ได้ตายจริงๆแน่”
เอเธอร์พูดเหมือนกล่าวเตือน แต่คาลอสหาได้สนไม่
“ราชาอัศวินมีหน้าที่ต้องตายเพื่ออาณาจักรนี้อยู่แล้ว”
“เป็นชีวิตที่น่าเศร้าจริงเชียวนะ”
“แกเป็นใครถึงมาตัดสินว่านี่เป็นเรื่องที่ผิดกัน?”
คาลอสลุกขึ้นยืน-และตั้งท่าดาบเข้าหาเอเธอร์พร้อมกับหรี่ตามองอย่างเด็ดเดี่ยว
เอเธอร์อดแปลกใจไม่ได้
“อาณาจักรฟัฟนิร์แห่งนี้น่าปกป้องขนาดนี้เลยหรือครับ ผมไม่เข้าใจหรอกนะ ความรู้สึกนี้”
“เพราะแกไม่เข้าใจความรู้สึกของผู้อ่อนแอยังไงล่ะ”
“นั่นสินะครับ ผมไม่เข้าใจหรอกครับ ไม่มีทางเข้าใจด้วย”
น้ำเสียงของเอเธอร์ไม่ได้เต็มไปด้วยความยโสโอหัง ช่างขัดกันประโยคพูด
“แต่สงสัยครับ ผมอดสงสัยไม่ได้จริงๆว่าอาณาจักรนี้มันสำคัญกับคาลอสขนาดนี้เลยเหรอ? ไม่ใช่ว่าคนที่อยากทำลายอาณาจักรนี้ที่สุดควรเป็น–คาลอสรึไง” เอเธอร์ยิ้ม และยืนเท้าสะเอวมองคาลอส “เจ้าหญิงมังกรคนก่อนเป็นคนสำคัญของคาลอสนี่ สำคัญที่สุด เป็นดั่งเหตุผลในการมีชีวิต ถ้านั้นแล้วทำไมถึงไม่เคียดแค้นอาณาจักรนี้ที่พรากคนรักไปล่ะ ทำไมถึงได้ยอมพรีกายให้อาณาจักรแห่งนี้กัน ผมไม่เข้าใจ ..ถ้าบอกว่าโดนล้างสมองผมคงจะเชื่ออยู่หรอก”
คาลอสได้ยินก็หยักไหล่ให้ และยิ้มอย่างเป็นกันเอง
สำหรับเอเธอร์แล้ว รอยยิ้มเช่นนี้หาดูได้ยาก
“มีอะไรน่าตลกหรือครับ”
“ไม่มีอะไรน่าตลกทั้งนั้น ..ทำไมน่ะเหรอ เรื่องแบบนี้ ดวงตามหาปราชญ์ของแกไม่สามารถมองออกสินะ”
“นั่นสินะครับ ..”
“ชีวิตคนเรา มันไม่ได้หยุดอยู่กับที่สักหน่อย ..ขึ้นสูง ลงต่ำ พบเจอ แยกจาก และเริ่มต้นใหม่ คนสำคัญไม่ได้มีแค่คนเดียวอีกต่อไป เพราะช่วงชีวิตนี้ได้พบเจอสิ่งใหม่ๆตลอด ..เพราะอย่างนั้นตัวฉันจึงได้ก้าวขึ้นมารับตำแหน่ง—-เพื่อปกป้องผู้คนในอาณาจักรแห่งนี้”
เอเธอร์เงียบไป เรียกใช้ดวงตามหาปราชญ์ แต่พอยืนเฉยได้สามวิ เอเธอร์ก็ปิดดวงตามหาปราชญ์และยิ้มให้คาลอสแทน
“อดีตของคาลอส หากตั้งใจก็คงมองได้ เพียงแต่ทางผมไม่ได้มีมานาเยอะขนาดจะนั่งอ่านบันทึกเรื่องราวของคุณเป็นสิบปีไหว น่าเสียดายนะครับ แต่ถึงอย่างนั้น ลูกสาวของคนที่คาลอสต้องการปกป้องก็ต้องเสียสละ หมายความว่าคนที่คุณพบเจอก่อนหน้านี้มีค่ากว่าเจ้าหญิงมังกรคนปัจจุบันสินะครับ”
คาลอสพยักหน้ารับ
“ใช่แล้วล่ะ เทียบน้ำหนักแล้วฉันให้ค่าทางคนอื่นมากกว่าเธอ”
“คงจะอย่างนั้น ..เช่นนั้นก็ เริ่มต่อเลยรึเปล่าครับ?”
เอเธอร์เดินเข้ามา คาลอสเหวี่ยงดาบขึ้นฟ้าและฟาดลงมา————————
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
****
ยูจิสบตากับราชาอัลเบโด้ หลังจากนี้คงเกิดการต่อสู้ขึ้นแล้ว
ทว่า
ยูจิกลับหันความสนใจทั้งหมดมาให้อัลเบิร์ตที่ถูกเผาจนเกือบๆเละ ถ้าปล่อยไว้ได้ตายแน่นอน เพราะอย่างนั้นจึงปล่อยไว้ไม่ได้เด็ดขาด
“.. [หักล้าง]” ยูจิพึมพำเบาหวิว
แขนสีฟ้าพุ่งไปแหวกร่างของอัลเบิร์ต ก่อนที่ร่างของอัลเบิร์ตจะบิดเข้าหากันและเกิดแสงสีขาว เป็นอันกลับมาอยู่ในสภาพก่อนที่จะเละ
อัลเบิร์ตกลับมามีรูปโฉมที่แนะนำเหมือนผู้เป็นบิดา
ตัวอัลเบิร์ตได้แต่กระพริบตาระรัว ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ส่วนอัลเบโด้ก็ยืนมองอย่างสนอกสนใจ
“ผู้ใช้วิญญาณระดับเทพนี่เอง”
ยูจิไม่ตอบ เขาลุกขึ้นยืน จ้องตากับอัลเบโด้อีกครั้ง
“ผมเกลียดความรุนแรง ไม่ชอบต่อสู้ ผมคิดว่าการใช้กำลังเป็นสิ่งที่ไม่ควรมีในหมู่มนุษย์” ยูจิหรี่ตาลง “ความรุนแรงมีแต่จะทำให้ทุกสิ่งมันแย่ลง บนหน้าประวัติศาสตร์โลกเองก็บันทึกเรื่องราวทั้งหมดไว้ได้อย่างดีครับ ..ตั้งแต่ยุคโบราณ สงครามเทพและจอมมาร หรือยุคมังกรธาตุ หรือว่ายุคแก่งแย่งชิงอำนาจของมนุษย์ ..ไม่ว่ายุคไหนก็มีจุดเริ่มต้นมาจากความรุนแรงครับ เพราะฉะนั้นผมจึงเกลียดความรุนแรง”
“จะพูดอะไรกันแน่?”
อัลเบโด้ตัดบทง่ายๆ แต่เดิมก็ไม่ได้สนใจความคิดของเด็กอ่อนต่อโลกแบบยูจิอยู่แล้ว
“..ให้อิสระกับคุณหนิง และจบเรื่องกันเถอะครับ”
อัลเบโด้เงียบไป ก่อนจะหัวเราะออกมา
เป็นการหัวเราะที่น่ารังเกียจ เพราะน้ำเสียงนั้นกำลังเย้ยหยันยูจิอยู่ กำลังไม่ให้เกียรติยูจิ
“ทางนี้จะได้อะไรตอบแทนล่ะ แลกกับพลังของมหามังกร สิ่งที่อาณาจักรฟัฟนิร์ได้คืออะไร”
“..ใช้อำนาจมหามังกรนำพาอาณาจักรไปแบบนี้มันใช้ได้หรือครับ อาณาจักรนี้อยู่ไม่ได้เลยเหรอถ้าขาดเด็กคนหนึ่งไป—”
“ฟังซะหนุ่มน้อย อำนาจมหามังกรมันเป็นสิ่งที่ควรเก็บรักษาเอาไว้ ..ไม่ใช่แค่พลัง แต่เป็นเรื่องความปลอดภัยของโลกด้วย ถ้าเกิดปล่อยหนิงไป เธออาจจะไม่ทำอะไรกับอาณาจักรนี้และโลกนี้ก็จริง แต่เมื่อเธอตายไป จากนั้นจะเกิดอะไรขึ้น หากตายไปทั้งๆที่ไม่มีทายาทเลยสักคน ..มหามังกรเพลิงฟัฟนิร์ เจ้าของพลังตัวจริงจะได้พลังกลับคืนไป แล้วมหามังกรที่ครั้งหนึ่งเคยนำพาโลกจมสู่ความมืดได้เนี่ยมันควบคุมได้ซะทีไหน” อัลเบโด้หัวเราะขึ้นจมูก “จากนั้นเจ้ามหามังกรที่แข็งแกร่งนั่นอาจหาทางทำให้มหามังกรตนอื่นได้พลังกลับไปเหมือนกันอีก ถ้าทั้งหมดมันเกิดขึ้นโลกนี้ได้จมสู่ความมืดมิดอีกครั้งแน่นอน ไม่ใช่แค่พลังที่อาณาจักรนี้ต้องการเท่านั้น สายเลือดมหามังกรยังเป็นสิ่งที่ต้องอยู่ในความดูแลตลอด ตัวแกกำลังจะบอกให้ฉันส่งสายเลือดนี้ให้ ..นั่นไม่ต่างกับการปล่อยคีปนาวุธเลย ในฐานะราชาหรือในฐานะมนุษย์ ฉันคงทำไม่ได้”
จริงของอัลเบโด้ทั้งหมด ยูจิรู้ดีแก่ใจ แต่..
“แล้วคุณในฐานะพ่อมันใช้ได้เหรอครับ”
“พ่อ? ..ฉันไม่ใช่พ่อของเจ้าหญิงมังกรสักหน่อย”
“เธอชื่อหนิงครับ เป็นชื่อที่แม่ของเธอตั้งให้ มีความหมายส่าความสงบ เป็นชื่อที่ดีครับ เป็นชื่อที่แม้แต่ผมที่เป็นคนนอก ยังแอบอิจฉาและภาคภูมิใจแทนเลยครับที่ได้ชื่อดีๆอย่างนั้นมา เธอมีแม่ที่ดีครับแต่ก็ถูกคุณพรากไป นั่นเป็นความสุขเล็กๆของเธอนะครับ เป็นความสุขแค่ไม่กี่อย่าง ทำไมต้องพรากไปด้วย”
ยูจิเริ่มพูดเร็วขึ้น เริ่มมีน้ำโห คล้ายจะหมดความอดทน
อัลเบโด้มองยูจิอย่างสมเพซ เพราะท่าทางที่พูดเอาเป็นเอาตายอย่างไร้เหตุผลนี้มันชวนน่าอนาถใจ ทำให้นึกถึงราชาอัศวินคนนั้นเมื่อครั้นยังหนุ่ม เมื่อครั้นที่ยังไร้เดียงสาต่อโลก
เป็นเหมือนกระจกสะท้อนกระมัง ..
“นั่นใช่เรื่องที่ฉันต้องสนด้วยเหรอ ..มันไม่ใช่หน้าที่ของฉัน ..ไม่สิ”
อัลเบโด้นึกถึงคำสาบานที่จะทำให้หนิงมีความสุขกับชีวิต
“…”
“ผมเข้าใจครับ ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องของคุณ ไม่ใช่สิ่งที่คุณต้องแบกรับ ผมรู้ดีถึงหน้าที่ของคุณหนิง สักวันมันต้องเป็นไปตามกระบวนการผมก็รู้ดี แล้วก็ต้องยอมรับด้วย แต่นั่นไม่ใช่ว่าอย่างน้อย คุณหนิงต้องมีเวลาอีกสักสามปีไม่ก็สี่ปีหรือครับ”
“เพราะเจ้าหญิงมังกรเวลานี้เป็นภัยกับอาณาจักรยังไงล่ะ ..เจ้าหญิงมังกรจำเป็นต้องไร้ความรู้สึก”
“หน้าที่ที่คุณยึดถือ คือการมอบความทุกข์ให้เด็กสาวคนหนึ่งสินะครับ ..”
ยูจิถอนหายใจ มองอัลเบโด้อย่างเบื่อหน่าย
“..ราชาอัลเบโด้ ชาวบ้านหลายคนนับถือคุณ ยอมรับว่าคุณเป็นราชาที่นำพาความมั่นคั่งมาสู่อาณาจักรแห่งนี้ ผมเองก็แอบนับถือคุณเหมือนกัน ..ซึ่งเรื่องนี้ ผมพลาดสุดๆที่นับถือคุณครับ คุณมันน่าผิดหวังครับ”
เป็นครั้งแรกที่คำพูดของยูจิทำให้อัลเบโด้หวั่นไหว
“ผิดหวัง? นั่นใช่เรื่องที่ฉันต้องสนใจรึเปล่า”
“ต้องสนสิครับ ก็ผมเป็นประชาชนของคุณ เป็นคนที่คุณยอมสละลูกตัวเองเพื่อปกป้อง”
“อย่ามาพูดพล่อยๆ ก็บอกว่าเธอไม่ใช่ลูกของฉัน”
ยูจิกัดฟันกรามแน่น เดินเข้าไปหาอัลเบโด้ด้วยท่าทางโกรธจัด
“ใช่ เธอคงไม่ใช่ลูกของคุณจริงๆ แต่..” ยูจิตะโกนขึ้นมา “มันไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะต้องถูกรังเกียจครับ!!!”
อัลเบโด้นิ่งทันทีที่ได้ยิน
“คุณมันน่าผิดหวังครับ! เจ้าหญิงมังกรห้ามมีความสุขเหรอ? อย่ามาพูดบ้าๆนะ! เจ้าหญิงมังกรคนก่อนก็มีความสุขดีไม่ใช่รึไง มีความสุขถึงระดับที่ไม่อยากจะจากโลกนี้ไปเลยนี่!”
“..ทำไม”
อัลเบโด้ไม่เข้าใจว่ายูจิรู้เรื่องนี้ได้ยังไง
“ทั้งอย่างนั้นคุณกลับมาบอกว่าเธอห้ามมีความสุขเหรอครับ คุณพลาดความสุขไปจากเธอด้วยเหตุผลแค่นี้นะ? ไอ้สารเลวเอ้ย!! คุณก็แค่สนองความต้องการของตังเองนี่นา แค่อยากให้เธอมีแต่ความทุกข์ด้วยความรู้สึกของตัวเองไม่ใช่รึไงกัน ..คุณแค่คนเลวครับ”
“..คนเลว นั่นสินะ!”
อัลเบโด้เลือดขึ้นหน้า ขมวดคิ้วเข้าหากัน ตวาดกลับยูจิทันที ท่าทางเงียบขรึมหายไปจนหมด
“ก็เพราะไอ้เด็กนี่ คนรักของฉันถึงตาย ไม่มีสายเลือดของฉันแท้ๆ ในตัวมีแค่เลือดของมหามังกรไหลเวียน ไม่มีสายเลือดของฉันอยู่ ไม่มีทางเป็นลูกของฉันแน่นอน และไม่ใช่ลูกของเธอด้วย เพราะถ้าเป็นลูกของเธอ เธอไม่มีทางที่จะพูดรังเกียจเด็กคนนี้!! เธอไม่ใช่ลูกของใครทั้งนั้น เธอมันแค่ตัวซวย!! เธอพรากชีวิตของคนรักฉันไป ทั้งๆที่ไม่ว่าใครก็รักชีวิตของตัวเองทั้งนั้น”
“แล้วมันใช่เรื่องที่เธอต้องรับผิดชอบเหรอครับ!? เธอไม่เคยบอกให้พวกคุณให้กำเนิดเธอมาสักหน่อย!!”
“อย่างแกจะไปเข้าใจอะไร”
ยูจิวิ่งมาต่อยหน้าอัลเบโด้จนกระเด็น เพราะจังเหวะทีเผลอทำให้อัลเบโด้ไม่ได้ตั้งรับ
“เข้าใจดีกว่าแกล่ะกันล่ะ!!!”
ยูจิเดือดได้ที่ เขาปลดกระดุมเสื้อออกและพล่ามออกมาไม่หยุด
“ทั้งหมดมันความผิดของแกต่างหาก ถ้าแกสร้างโลกที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพลังมหามังกรได้ ภรรยาที่แกรักก็คงไม่ตาย ลูกที่แกควรจะรักก็จะไม่เป็นที่รังเกียจ ทั้งหมดมันเป็นเพราะแกสร้างอาณาจักรที่เธอคนที่ตัวเองรักจะอยู่แบบมีความสุขไม่ได้ต่างหากเล่า!! อย่ามาล้อเล่นนะ อย่ามาบ้านะ อย่ามาโทษคนอื่นมั่วชั่วนะ!! มันเป็นเพราะอาณาจักรบ้านี่ไม่ใช่รึไงที่พรากทุกอย่างไปจากแกน่ะ!!!—แล้วแกก็ได้แต่เอาความผิดของตัวเองไปให้คนอื่น แกมันอ่อนแอและสิ้นหวังในตัวเองจนต้องสาปส่งคนที่ไม่เกี่ยวข้อง ทั้งๆที่ต้นเหตุมาจากอาณาจักรนี้แท้ๆ!!”
“อย่ามา..ทำเป็นเก่งหน่อยเลย ถ้าเป็นแก..ถ้าเป็นแกจะทำยังไงเล่า ถ้าเจอเหมือนฉันจะแก้ไขมันยังไง”
“อย่างแย่ที่สุด ผมจะทิ้งอาณาจักรนี้เพื่อให้คนรักมีความสุข”
อัลเบโด้ลุกขึ้นยืน หัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง
“พูดก็พูดง่ายสิ ทำจริงมันได้ที่ไห—อึก”
ยูจิวิ่งมาต่อย อัลเบโด้ตั้งกาดรับไหว
“ตัวเองทำไม่ได้ ก็อย่ามาบอกว่าคนอื่นทำไม่ได้สิ!!”
คำพูดของยูจิทำให้อัลเบโด้ไม่มีสมาธิ พลาดท่าโดนต่อยลำท้อง
วิชาทั้งหมดที่เรียนมาทั้งยูจิและอัลเบโด้ ไม่ได้ใช้เลยสักอย่าง ที่ทำก็แค่ต่อยกันเหมือนกับเด็กทะเลาะกัน
“แค่นั้นไม่พอ แกยังขี้ขลาดเกินกว่าจะเชื่อใจคนรักของตัวเอง ..แกเชื่อเหรอว่าใจจริงของเธอจะเป็นอย่างนั้น จะเกลียดลูกของตัวเองที่เคยขอให้แกปกป้องจากใจจริงน่ะ!?”
“แก..จะไปเข้าใจอะไร”
“เข้าใจสิ ..ทั้งโลกนี้..ทั้งความรู้สึกของทุกคน..”
น้ำตาไหลออกจากดวงตาของยูจิ
“มีแค่ฉันที่เข้าใจดีที่สุด ฉันเข้าใจมันหมดนั่นแหละ ..”
ไม่ได้โกหก ไม่ได้อวดดี ทั้งหมดมีแต่ความจริงในถ้อยคำและความรู้สึกของยูจิ
ตลอดการปะทะคารม ยูจิเห็นภาพย้อนเข้ามาในหัวตลอด ภาพที่ซ้ำซาก ภาพที่เห็นมาไม่ต่ำกว่าร้อยรอบ ทั้งหมดไหลเข้ามาในหัวของยูจิจนแทบคลั่ง ถึงขนาดลืมวิธีพูดของตัวเอง และกดยั้งอารมณ์ตัวเองเอาไว้ไม่ไหว
เศษเสี้ยวแห่งความทรงจำมันไหลเข้าหัวของยูจิ เรื่องราวนับไม่ถ้วนที่น่าเจ็บปวด
..ยูจิจึงเข้าใจความรู้สึกของทุกคนในที่แห่งนี้ดีที่สุด
การเข้าใจความรู้สึก มันคงจะเป็นคุณสมบัติของ ‘พระเอก’
..ไม่ใช่ คิดผิดแล้ว
มันเป็นคุณสมบัติของ ‘มนุษย์’ ต่างหาก
“อย่าหนีนะ อย่าหันหน้าหนีความจริง ..ยอมรับซะ”
ยูจิเดินไปต่อยอัลเบโด้–อัลเบโด้ไม่ตอบโต้อะไรจึงโดนต่อยคว่ำ
ยูจิใช้เข่ากดแขนของอัลเบโด้ไว้และต่อยหน้าอัลเบโด้ซ้ำๆอยู่ฝ่ายเดียว
“คนขี้ขลาด ..คุณคือคนขี้ขลาดครับ”
วิธีพูดกลับมาเหมือนเดิมแล้ว
สีหน้าที่โกรธจัดของยูจิได้หายไป ตอนนี้กลายเป็นสีหน้าที่เศร้าโศก
อัลเบโด้มองสีหน้าของยูจิและนึกย้อนกลับไปเมื่อสมัยก่อนได้ …ในห้วงเวลาสุดท้ายที่คนรักกำลังจะตาย
‘เพราะเด็กคนนี้ ฉันเลยตายทั้งๆที่ไม่อยากตาย ..ก่อนหน้านี้ฉันคิดอย่างนั้น มันคงจะดีกว่าถ้าฉันได้มีชีวิตอยู่ต่อไปโดยที่แลกกับชีวิตของเด็กคนนี้ ..ควรเป็นอย่างนั้น แต่ไม่รู้ทำไม พอได้เห็นหน้าของเด็กคนนี้แล้ว ความเกลียดชังจึงหายไปหมด’
เธอไม่ได้เกลียดเด็กคนนี้ ไม่ได้เกลียดหนิงที่อยู่ในอ้อมอกเธอ
ที่เธอเกลียดน่ะมันคือ ..
‘ฉันจึงเปลี่ยนมาเกลียดชะตากรรมแทน ..ฉันเกลียดโลกนี้ สภาพแวดล้อมบนโลกนี้ที่ทำให้ฉันไม่สามารถอยู่กับคนนี้ได้ ..ฉันอยากมีชีวิต อีกสักชั่วโมงก็ยังดี อยากจะสัมผัสเด็กคนนี้ให้มากกว่านี้’
…อา
…เธอเกลียดโลกที่ทำให้เธออยู่กับลูกตัวเองไม่ได้ต่างหาก
และคงอยากให้อัลเบโด้ คนที่เธอรัก ดูแลเด็กคนนี้ด้วยความรักเช่นกัน
“..ไม่จริง”
ความทรงจำในอดีตที่ไม่อยากยอมรับไหลกลับเข้ามาในหัว อัลเบโด้สัมผัสศรีษะตัวเองและสบถออกมา
“เธอไม่ใช่ลูกของฉัน ..ไม่ใช่”
คำสัญญาของตัวเอง และความรู้สึกของคนรัก อัลเบโด้ได้เมินทั้งหมด
เขาคือคนขี้ขลาดอย่างที่ยูจิว่า อัลเบโด้เริ่มคิดขึ้นมาจริงๆแล้ว แต่ไม่อยากยอมรับ ยังดื้อด้าน
“ไม่ใช่..เธอไม่ใช่ลูกของฉัน สายเลือดของเธอมันไหลเวียนไปด้วยเลือดของมหามังกร ฉันเป็นแค่ตัวแทนที่ทำให้เธอเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ได้เกี่ยวพันทางสายเลือด พวกเราไม่ได้..”
ยูจิหยุดต่อยอัลเบโด้ เขามองอัลเบโด้อย่างเศร้าใจ
เวลานี้ยูจิรู้สึกเศร้าใจกับชะตากรรมของอัลเบโด้ที่สุด
“หนิงเป็นลูกของคนรักคุณอยู่ดีนี่ครับ ..”
ประโยคพูดสั้นๆทำให้อัลเบโด้ตาสว่าง
ยูจิผละร่างออกจากอัลเบโด้ เขาลุกขึ้นยืน
“ในเมื่อคุณมอบความสุขให้เธอไม่ได้ พวกผมก็จะให้แทนครับ จะพยายามให้แทนในส่วนของคุณแม่แท้ๆของเธอด้วย ส่วนคุณน่ะ..ก็หมกตัวอยู่แต่อาณาจักรโสโครกนี่เถอะ”
ยูจิเดินออกจากอัลเบโด้ที่ตอนนี้หมดพลังใจจนขยับร่างไม่ไหวอีกแล้ว
อัลเบิร์ตรีบวิ่งไปหาพ่อตัวเอง และจ้องยูจิอย่างไม่เป็นมิตร ทำท่าทางคล้ายข่มใส่ ยูจิหาได้สนใจไม่
พร้อมกันนั้นเรเซอร์ก็โผล่มาพอดี พร้อมๆกันกับหนิงและมิร่า
ทั้งสามพุ่งมาทางยูจิพร้อมกันแต่เป้าหมายต่างกัน
ฝั่งหนิงและมิร่าคิดจะฆ่ายูจิ ส่วนเรเซอร์คือปกป้องยูจิ
กำลังจะเกิดการปะทะต่อ แต่ทางมิร่าสังเกตุเห็นบิดาของตัวเองได้ก่อนเลให้คำสั่งใหม่กับหนิง
“ไปดูอาการท่านพ่อก่อนเจ้าหญิงมังกร!”
หนิงรับคำสั่งแล้วจึงลากมิร่าบินไปหาอัลเบโด้ที่นอนอยู่กับพื้น มิร่ารีบลงจากเวทมนตร์มาสัมผัสตรวจดูร่างกายของอัลเบโด้ด้วยท่าทางเป็นห่วง
ส่วนหนิงก็มองอย่างไร้ความรู้สึก
เมื่อเห็นสภาพของหนิงยูจิก็รู้สึกเจ็บใจขึ้นมา
“คุณเรเซอร์”
“รู้แล้ว ขั้นต่อไปคือชนะหนิง วางใจได้ ฉันเก็บไพ่ตายไว้เพื่อการนี้แหละ”
ยูจิได้ยินก็โล่งอก น่าละอาย แต่ตัวยูจิไม่คิดว่าตัวเองจะชนะหนิงได้แม้แต่น้อย แต่ถ้าเป็นเรเซอร์คงจะไหว ไม่สิ ถ้าเป็นเรเซอร์จะต้องไหวแน่นอน
ยูจิเชื่อใจเรเซอร์
ที่เหลือก็แค่รอทางนั้นออกคำสั่งล่าทางนี้ ไม่ก็ตัวเองจะเป็นฝ่ายบุกไปเอง ..จังหวะนั้นอัลเบโด้ก็ออกคำสั่งก่อน
“พอที”
อัลเบโด้มองขึ้นไปบนเพดานประสาท ..ด้วยแววตาที่หมดอะไรตายอยาก
“ระเบิดทุกคนที่นี่ทิ้งซะ..”
สำหรับตอนนี้ อัลเบโด้อยากตายไปพร้อมกับทุกอย่าง
