เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? - ตอนที่ 13

< < 12 > >
พันธสัญญาได้เริ่มขึ้นแล้ว——-ทันใดนั้นผมก็ถูกส่งกลับมายันโลกความเป็นจริง โดยที่ตรงหน้ามีคุณพ่อบ้านสุดหล่ออย่าง ‘ชิน’ กำลังนั่งกัดเล็บด้วยสีหน้าท่าทางเคร่งเครียด บนหินก้อนยักษ์
พอมองไปรอบๆ ก็พบว่ามีแต่หินและต้นไม้ธรรมดาๆ ซึ่งไม่มีซากโบราณสถานเหลืออยู่เลย เป็นเครื่องบ่งบอกว่านี่คือโลกความจริงของจริง
“ชินเครียดใหญ่เลยเห็นมั้ย? ..ความผิดของเธอเลยยูนา”
‘ขออภัยค่ะ’
แม้จะมีเสียงของยูนาตอบรับ แต่ผมไม่รู้ว่าเธออยู่ตรงไหน น่าจะเป็นเพราะเธอเป็นวิญญาณ
เอาเถอะ
“ไม่ได้คิดมากหรอก——”
‘เข้าใจแล้วค่ะ’
อย่าพูดคำตอบคำสิ
“ชินรอนานมั้ย?”
ผมเอ่ยทักเขาจากข้างหลัง เมื่อชินหันมาพบผม ใบหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนจากสีขาวต้มกลายมาเป็นรอยยิ้มสดใส—-น่ารักชะมัดไอ้หมอนี่
“ปลอดภัยดีสินะครับท่านเรเซอร์!”
ชินวิ่งเข้ามาค้นตรวจร่างกายผม ราวกับตำรวจเวลาเจอคนหน้าตาดูโจร
“แค่โดนเล่นแผลทางใจนิดหน่อย”
“นั้นหรือครับ ดีจริงๆ ผมนึกว่าท่านจะพบเจอกับอันตรายเข้าให้แล้ว …วีรสตรียูนา กระผมไม่คิดเลยละครับ ว่าจะชั่วร้ายได้ถึงขนาดนี้ มาเล่นงานท่านเรเซอร์อย่างนี้ได้ยังไงกัน!?”
“ใช่แล้วๆ เธอเข้าใจมั้ยยูนา!?”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ ยกเว้นชิน
“…เอ่อ ท่านเรเซอร์ อย่าบอกนะครับว่า”
“อืม พันธสัญญาได้เริ่มขึ้นแล้ว”
ผมชูสองนิ้วให้ชินด้วยรอยยิ้มแสนชั่วร้ายซึ่งเปี่ยมไปด้วยความสุข
“ได้ยูนามาครองแล้วละ”
“-ส สุดยอดเลยนะครับนั่น! ถ้าท่านเซบาสเตียนหรือคนอื่นๆ รู้พวกท่านต้องประทับใจเป็นแน่ครับ ถือโอกาสให้คนอื่นมองท่านเรเซอร์ใหม่ได้เลยนะครับนั่น”
…อืม มันก็—-
‘ห้ามเชียวนะคะแบบนั้น มาสเตอร์ช่วยห้ามหญิงสาวผู้นั้นด้วย’
ดูเหมือนยูนาจะไม่ชอบออกหน้านัก เป็นคุณป้าที่ขี้อายจริงๆ …หญิงผู้นั้น?
“โทษทีนะชิน แต่เรื่องยูนาช่วยเก็บไว้เป็นความลับทีนะ แล้วก็นายเป็นผู้หญิงรึ?”
ผมเลือกที่จะถามมาตรงๆ เลือกวิธีนี้ดีกว่าไปตามสืบเอาทีหลัง ไม่นั้นความเชื่อใจระหว่างผมกับชินได้พังลงแน่ๆ
“ไม่นะครับ กระผมเป็นผู้ชายครับ” ชินถึงกับเหงื่อแตกพลั่ก
ว่างั้นแหนะ
‘…ความลับนั้นหรือคะ? เอาเถอะค่ะ มาสเตอร์ช่วยทำเป็นไม่สนใจเรื่องเพศทีคะ’
“อืมๆ เข้าใจละ”
“-ผ ผมเป็นผู้ชายจริงๆ นะครับ!”
“เปล่าๆ ฉันแค่คุยกับยูนาเฉยๆ”
“-น นั้นหรือครับ ขออภัย”
ชินกระแอมเบาๆ ก่อนจะเก๊กท่าสงบ
“นี่ยูนา ไม่มีวิธีคุยกับเธอแบบไม่พูดเลยหรือไง?”
‘มีแน่นอนค่ะ เพียงมาสเตอร์คิดในใจฉันก็ได้ยินทั้งหมดแล้ว’
เหวอ แบบนั้นมันน่าหยะแหยงชอบกลแฮะ
‘ได้ยินนะคะ’
ขออภัยครับ ….ลาก่อนความเป็นส่วนตัวของผม
‘ขออภัยค่ะ’
ไม่หรอกๆ
รู้สึกได้เลยว่าตอนนี้ผมอึดอัดในใจเล็กน้อย
หากให้ยกตัวอย่างก็เหมือนกับการที่คุณต้องไปอาศัยห้องพัก กับหญิงสาวเพียงลำพัง เพียงแค่นั้นก็อึดอัดจนแทบจะขาดอากาศหายใจแล้ว จะทำอะไรก็ต้องยึดยัดไปหมด เกรงใจไปหมด
และที่ผมกำลังเผชิญก็เป็นอะไรที่เหนือไปกว่านั้น เรียกได้ว่าฮาร์ดโหมด นั่นก็คือหากหญิงสาวที่พักอยู่ด้วยเขามีพลังในการอ่านใจได้ และผมก็รู้มันตั้งแต่เนิ่นๆ เนี่ย ..บอกตามตรงผมได้อกแตกตายแหงๆ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าโคตรลำบากใจ
‘ไม่ต้องห่วงค่ะมาสเตอร์ ฉันก็ลำบากใจเหมือนกัน’
‘เดี่ยวก่อนนะ! ฉันอ่านใจเธอไม่ได้สักหน่อย!’
‘แค่ได้มาเป็นหนึ่งเดียวกันมาสเตอร์ ก็ค่อนไปทางลำบากใจแล้วค่ะ โปรดเข้าใจด้วยไอบื้อ’
‘โทษทีละกัน!”
โดนผู้หญิงว่าจังๆ เช่นนี้ ไม่ว่าจะทางไหนมันก็เจ็บปวดรวดร้าวชะมัด——–ขนาดอันนาที่ปากจัดๆ เธอยังไม่ว่าผมต่อหน้าอย่างนี้เลย ฮือ อยากร้องไห้จังเลย
เอาเป็นว่าอย่าวิจารณ์ความคิดผมมากละกัน เอาพอหอมปากหอมคอพอ
‘เข้าใจแล้วค่ะ’
‘ขอบพระคุณมากครับ’
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา
“กลับกันเถอะชิน”
———ทันทีที่ผมพูดจบ แสงที่ไม่ใช่หิ่งห้อยก็ผ่านหน้าพวกผมไปนับร้อยๆ ดวง
พวกมันทะลุผ่านตัวไป และส่องสว่างไปทั่วป่ามหาภูตติ—– ‘ภูต’ มันคือชื่อเรียกของแสงเหล่านั้น ตัวตนอันน่ามหัศจรรย์ สิ่งที่สิงสถิตอยู่ไปทั่วโลกแต่ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่า สุดยอดตัวตน
ชินตื่นตระหนกเมื่อเห็นเหล่าภูตกำลังเฉลิมฉลองกัน
“ภูต? ทำไมถึงมีเยอะขนาดนี้กันละครับ!”
“..ก็ป่ามหาภูตตินี่นะ มันก็ต้องภูตแหละ ไม่ใช่พวกคนป่าหรือกลางสนามรบ” ผมหัวเราะร่า “…ค่อยทำตัวสมชื่อหน่อย”
ผมกับชินชมภาพที่เหล่าภูติมากมายหลากสีบินวนไปมา ราวกับว่ากำลังแสดงความยินดีให้ใครสักคน
และใครสักคนที่ว่าก็อยู่ในอกของผม ‘ยูนา’ นั่นแหละ
‘ทำอะไรไม่เข้าเรื่องจริง ‘เซเนีย’” ยูนาพึมพำเบาหวิว
…ภูตกำลังยินดีกับยูนา
ที่พวกผมได้เห็นเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้น จากการทำพันธสัญญากับยูนา แน่นอนว่าขอรับไว้ด้วยความยินดีและขอชื่นชมภาพที่งดงามขนาดนี้จากจากใจจริง ไอสิ่งที่เกิดขึ้นน่ะ ต่อให้มีอายุขัยเป็น 1000 ปี หรือเป็นเอลฟ์ ก็ไม่มีทางได้เห็นหรอก …มันคือเหตุการณ์ที่น่าอัศจรรย์ เพราะว่า———— ‘เซเนีย’ ที่ยูนาพูดถึงน่ะ มันคือนามของ ‘มหาภูต’ ผู้สิงสถิตอยู่ในป่า
‘มหาภูตเซเนีย’ ผู้ร่วมมือกับยูนาในการโค่นมังกรธาตุ ปัจจุบันนี้เธอได้ขึ้นเป็นมหาภูตที่เปรียบได้ดั่งราชาของเหล่าด้วยล่ะภูต
ตำนานว่า ‘ยูนาตัดมิติ’ และ ‘เซเนียสร้างมิติ’ เมื่อรวมกันพลังของทั้งสองจึงกลายเป็นการสร้างและทำลายที่สมบูรณ์แบบ แม้แต่มังกรธาตุก็ไม่อาจเป็นคู่มือได้ เครื่องสิ่งพิสูจน์ก็คือเหล่ามังกรธาตุที่ตอนนี้สูญเสียพลังไปถึงเก้าส่วนยังไงละ
เมื่อกล่าวถึงเจ้าตัวก็ลอยมา แสงสีทองเจิดจ้าบินผ่านภูตนับร้อยไปมา และมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม พูดให้ถูกคือตรงหน้ายูนา สหายของเก่า
เสียงเล็กๆ เปล่งออกมา และทรงพลังมากทำให้แม้แต่ชินยังได้ยิน
‘ยินดีด้วยนะยูนา——-ทีนี้ก็ไม่ต้องขึ้นคางแล้วละ ยินดีด้วยนา’
‘ปากเสียเหมือนเดิมเลยนะคะ ‘เซเนีย’ ว่าแต่ว่ามีลูกๆ ภูตเยอะขนาดนี้แล้ว ยังจะหาสามีอยู่อีกสินะคะ?’
‘แหม่ ก็เรายังไม่มีลูกทางกายเลยน่ะนะ ทางเธอละ——-เคยมีดาร์ลิ้งยัง? อุ๊ยตาย แค่มีนายท่านแล้วก็อย่าคิดว่าจะได้สละคางที่ติดกับตัวมาเป็นพันปีนะ’’
ทั้งสองคุยกันอย่างสนิทสนม เพียงแค่เนื้อหาที่คุยกันมันเหมือนตั้งใจจะเหน็บแนมกันตรงๆ …พวกเค้าสนิทกันใช่มั้ย? คงไม่ตีกันหรอกนะ? ถ้าตีกันตัวตนที่ต่ำต้อยอย่างผมไม่ขาดกระเด็นไปมาเลยหรือไง?
ยูนาเริ่มมีน้ำโห
‘พล่ามมากจริงๆ คะ’
‘ฮุฮุ จะว่าไปก็โดนนายท่านด่ากราดจนซึมเลยนี่คะ จำไม่ผิดน่ะ——อายุป่านนี้แล้วแท้ๆ ยังโดนเด็กด่าข้ามหัวได้แบบตรงจุดอีก น่าตลกดีเนอะ’
‘….’
‘ตลกชะมัด’ เซเนียพึมพำแบบตั้งใจให้ได้ยิน—
‘—–มาสเตอร์เตรียมพร้อมสำหรับการใช้พลังครั้งแรกหรือยังคะ? ถึงเวลาใช้มันแล้วค่ะ ที่นี้—ตอนนี้ ถึงเวลาตายของมหาภูติปากเสียแล้วค่ะ!’
ตายละๆ ทำไงดีเนี่ยทีนี้ รุ่นป้าสองคนจะตีกันแล้ว!
ชินที่ได้ยินบทสนทนาตั้งแต่ต้นยันจบก็ตัวสั่นเป็นเจ้าเข้า
“-ท ท่านเรเซอร์ผมจะปกป้องท่านเองครับ -ล หลบหลังผมนะครับ!”
ความมั่นใจของชินถูกบดขยี้ในพริบตา เพราะตัวตนที่เขาต้องเผชิญหากจะปกป้องผมคือ ‘มหาภูต เซเนีย’ ภูตที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ หากว่ากันตามตรงแล้ว ‘เซเนีย’จัดว่าเทียบเท่าพระเจ้าหรือยูนาเลยละ
ผมเองก็ชักจะกลัวแล้วสิ
ถ้าสู้กันจริงๆ ฝั่งที่จะแพ้อย่างหมดรูปคือยูนานั่นแหละ เธอจำเป็นต้องใช้สื่อกลางเป็นมานาของผม—–ซึ่งวงจรเวทย์ยังไม่สมบูรณ์
ผมคงโดนกระทืบโดยที่ใช้พลังของยูนาออกเพียงทีสองทีเท่านั้น
‘ยูนา—–จะเอาจริงรึ? ไม่ออมมือให้หรอกนะ’
‘ไม่อยากให้ไอ้ภูตกระจอก ที่ถ้าไม่มีฉันก็เป็นได้แค่ภูตเพื่อนไม่คบมาบอกหรอกค่ะ’
‘แหม่ เรื่องมันก็ตั้งแต่ที่เราเป็นภูตปลายแถวแล้วนา——เอาปัจจุบันดีกว่ามั้ย?’
‘หึ นั่นสินะคะ มังกรธาตุที่กลัวหนักกลัวหนา ตอนนี้ก็ถูกฉันทะลอกหนังซะเหี้ยนแล้ว ไม่มีอะไรต้องกลัวแล้วนี่นะ’
ทั้งสองคนเม้าท์เรื่องอดีตกันสนุกปาก แน่นอนว่าเด็กน้อยแบบผมและชินไม่เข้าใจสักนิดว่าพล่ามอะไรกัน อาจจะพอจับจุดได้รางๆ แต่เอาเป็นว่าไม่ขัดดีกว่า รู้สึกว่าถ้าขัดหน่อยเดียว แม้แต่เจ้านายอย่างผมคงโดนยูนาด่ายับเช่นกัน
ไฟเริ่มจะแรงขึ้นเรื่อยๆ ทั้งสองคนด่ากันโดยไม่ดูอายุตัวเอง
‘เอาเวลามีเรื่องกับเราไปอ่านตำนานวีรสตรียูนาดีกว่ามั้ย? เจ้าไหนๆ ก็บอกว่าที่ปราบมังกรธาตุได้เป็นเพราะเรา ที่เป็นสุดยอดดาบเลยนา’
‘ไอดาบง่อยๆ ที่ตอนแรกฟันสไลม์ยังไม่ขาดน่นหรือคะ? ถ้าดังถึงขนาดโดนกล่าวยกยอขนาดนั้นละก็ เอาเวลาหาของมาถวายขอบพระคุณฉันที่อุตส่าห์นำพาให้เป็นมหาภูตดีกว่ามั้ยคะ?’
‘————-หนวกหูเฟ้ย ไอแก่นี่!!’
———-เอ๋!!?
‘หึ เถียงไม่ออกสินะคะ’
ยูนาหัวเราะพ่นจมูกดั่งผู้ชนะ
‘ยัยป้าเอ้ย ขึ้นคางไปซะคนอย่างแกน่ะ!’
‘ขอปฏิเสธค่ะ เชิญขึ้นคางไปคนเดียวเหมือนกับตอนนี้เถอะ อย่างคุณน่ะคิดแค่เรื่องจะดูแลลูกๆ ดีกว่ามั้ยคะ? รู้ทันรู้ว่าอยากมีสามียังจะขยันผลิตลูกนะคะ แล้วก็เรียกคนรักแทนว่า ‘ดาร์ลิ้ง’ ไม่ดูอายุน่ะ …ไม่กระดากปากหรือคะ?’
-ม ไม่แรงไปหน่อยเรอะ?
ท่านมหาภูตเงียบไป ก่อนที่ตาจะโฟกัสมาทาผมแทน
‘แกชื่อเรเซอร์สินะ! ————ครั้งหน้าจะได้เห็นดีกัน เตรียมทิชชูมาเช็ดน้ำตาตัวเองได้เลย แล้วฝากสั่งสอนยูนาด้วยล่ะเรื่องมารยาทน่ะ มารยาท’
ท่านมหาภูตจู่ๆ ก็ฟิวส์ขาด แล้วบินจากไปทั้งอย่างนั้น
…..อะไรละนั่น
“…-จ จบแล้วสินะครับ”
“นั่นสินะ …การเจอกันของวีรสตรี กับมหาภูต คือการมาด่าเสียๆ หายๆ กันตามประสาคนแก่ขึ้นคางสินะ”
….เข้าใจได้ยากเหลือเกิน พวกคนอายุเยอะเนี่ย
‘เสียมารยาทคะ’
———–
****
พวกผมกำลังเดินหน้าออกจากป่ามหาภูตกัน
ข้างบนศีรษะของผมนั้นมีภูตนับร้อยตนกำลังบินวนไปมาอยู่ พวกเขาตั้งใจนับทางให้พวกผม ที่ถูกยูนาลากไปไกลยันช่วงลึกของป่า
“คุณภูตนี่นิสัยดีจังเลยนา”
“นั่นสินะครับ”
‘ยกเว้นเซเนียค่ะ’
อา
ทำไมพวกหล่อนถึงกัดกันได้ขนาดนี้นะ
ผมได้แต่คิดและเดินตามแสงที่นำทาง———-จนมาถึงข้างนอกป่ามหาภูต
เมื่อถูกแสงสว่างจากพระจันทร์สาดส่อง ก็รับรู้ได้เลยว่ามันดึกมากแล้ว ให้ประมาณ พวกผมคงใช้เวลาอยู่ในป่าไม่ต่ำกว่าห้าชั่วโมงเลยละ
เอาเถอะ—–จะดึก จะมืดยังไง สิ่งที่ผมจำเป็นต้องทำตอนนี้มีเพียงสิ่งเดียว …ลีน่า เธอกำลังถูกโชคร้ายกัดกินอยู่
‘ยูนาเธอสามารถตัดคำสาปได้หรือเปล่า?’
ผมจะช่วยลีน่า ด้วยการตัดชะตากรรมปลอมๆ นั่น
‘…จะช่วยเด็กสาวที่นับถือ ‘ฟัฟนิร์’ สินะคะ?’
ยูนาถามขึ้นมา ถึงแม้น้ำเสียงจะดูเรียบเฉยไม่ได้อะไรมาก แต่ผมรู้ถึงเรื่องบาดหมางระหว่างเธอกับ ‘ฟัฟนิร์’ ดี
‘ฟัฟนิร์’ คือมังกรร้ายที่พรากสิ่งสำคัญไปจากเธอ ที่สำคัญเป็นตัวต้นเหตุที่ทำให้เกิดหลุมแผลใจขนาดใหญ่บนอกนั่นของยูนา มันไม่ใช่ตัวตนที่ให้อภัยได้ และคนที่นับถือมันอย่างสุดหัวใจ สำหรับยูนาแล้วคงยากในการฝืนใจช่วย
เพราะฉะนั้นต่อให้เป็นการบังคับผมก็ต้องทำ———
‘ขอโทษนะยูนา …เธอเป็นคนที่สำคัญกับผมมากๆ เลยละ’
‘รู้อยู่แล้วค่ะ …เฮ้อ อย่ามองฉันในแง่ร้ายแบบนั้นมากสิคะ เห็นแบบนี้แต่อายุก็ปาไปเป็นพันๆ ปีแล้ว กะอีแค่แยกแยะน่ะทำได้อยู่แล้วค่ะ’
ยูนาพูดสั่งสอนผม
‘ถ้าจะช่วยก็ทำมันเลยค่ะ ฉันจะทำเป็นไม่ใส่ใจ แล้วเหตุผลที่แม่หนูนั่นเคราพรักใน ‘ฟัฟนิร์’ ก็ค่อนข้างมีเหตุผลมากที่สุด’
….? เรื่องนี้แม้แต่ผมเองก็ยังไม่รู้เลยละ
‘เด็กสาวที่ชื่อลีน่า ครั้งหนึ่งเธอเคยถูก ‘ฟัฟนิร์’ ซึ่งแวะเยือนแถวนี้สักพักหนึ่งช่วยชีวิตไว้คะ …หากจำไม่ผิดก็เมื่อ 3 ปีก่อน เด็กสาวซึ่งกำลังถูกฝูงก็อบบินไล่ล่า จู่ๆ ก็ถูกคนที่อ้างตัวเป็น ‘ฟัฟนิร์’ มาช่วยชีวิตไว้—–ไม่แปลกที่จะเคราพรักใน ‘ฟัฟนิร์’ ถึงมันจะเป็นขยะเดนมังกรขนาดไหนก็ตาม’
-ข ขยะเดนมังกรสินะ ฮะๆ
‘ขนานแท้เลยค่ะ เจ้านั่นน่ะ รู้ทั้งรู้ว่าทำอะไรกับฉันไปบ้าง ก็ยังแวะเยือนแถวนี้ทุกๆ ปี ถึงที่มาเยี่ยมจะไม่ใช่ฉัน แต่เป็นหลุมศพของเพื่อนฉันก็ตาม ยังไงซะก็น่าโมโหอยู่ดี เป็นคนคร่าชีวิตเธอกับมือเองแท้ๆ มีหน้ามาเคราพศพอีก———….’
….นั้นรึ
ผมแตะอกตัวเอง ซึ่งน่าจะมีสัมผัสของยูนาอยู่ด้วย ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดไปเองหรือเปล่า แต่—–ผมกับยูนากำลังแชร์ความรู้สึกกันอยู่–รึเปล่านะ? การทำพันธสัญญาอาจจะมีผลค้างเคียงนั่นก็ได้ ก็ ถ้าไม่ ผมคงไม่รู้สึกเศร้าหน่วงๆ ในใจถึงเพียงนี้หรอก
‘ไม่ชอบใจเอาเลยค่ะ …จะว่าไปก็ช่วงนี้ด้วยที่มักจะโผล่หัวมา หึ ถึงจะบอกว่าโผล่หัวมาแต่เจ้านั่นไม่กล้าแม้แต่จะเข้าป่ามหาภูตเลยน่ะคะ’
สงสัยว่าถ้าได้เหยียบแม้แต่ปลายเท้าจะถูกวาปมากลางดงภูตพันๆ ตน และคงจะโดนรุมกระทืบจนร้องไห้ก็ไม่หยุดแหงๆ ———-พวกภูตดูถ่อยๆ ด้วยสิ ยูนาด้วย
‘ถ้าได้เจอก็ดีนะ’
‘จะฆ่ากับมือเลยค่ะ’
…นั่นไง ดีแล้วละที่ไม่ไปเหยียบกับระเบิดเข้า ‘คุณมังกรฟัฟนิร์’
ผมถอนหายใจเล็กน้อยก่อนจะหันไปคุยกับชิน
“แวะโบสถ์กันหน่อยเถอะ”
“จะช่วยคุณลีน่าสินะครับ?”
“ยังไม่ได้บอกเลยแท้ๆ”
“—–แค่มองแววตาของท่านเรเซอร์ กระผมก็รู้แล้วขอรับ”
….ขนลุกเลยแฮะ เจ้านี่อย่าพูดอะไรชวนจิ้นอย่างนั้นสิ
“ฝากด้วยละ”
*******
ตัดคำสาปของลีน่าสำเร็จแล้ว ลีน่าถูกปลดปล่อยจากดวงชะตาแล้ว
ตอนนี้จึงเดินออกจากโบสถ์กัน
“…ขอบใจนะยูนา”
ผมกล่าวออกมาทั้งๆ ที่ใบหน้านั้นซีกเผือก ชินที่เห็นจึงเข้ามาประคลองผม
“..ท่านเรเซอร์ไหวหรือเปล่าครับ?”
“อ่า พอได้อยู่”
ยูนาตอบผมกลับ
‘ไม่จำเป็นต้องขอบคุณหรอกค่ะ หน้าที่ของฉันคือการให้ยืมพลังอยู่แล้ว ที่สำคัญมานาก็ไม่ใช่ของฉันด้วย …แต่ลำบากแย่เลยนะคะ วงจรเวทย์ยังไม่สมบูรณ์เนี่ย’
‘นั่นสินะ ฟันไปแค่สามครั้งแต่เล่นมานาหมดตัวจนสภาพยังกะผีดิบได้เนี่ย คืนนี้ได้หลับฝันดีแหงๆ”
‘ถ้าเห็นดีเห็นงามก็ยินดีด้วยค่ะ’
ขอบใจ——ผมยิ้มออกมา
‘แล้วมีที่ไหนอยากไปรึเปล่า?’
ยูนาเธอเงียบไปก่อนจะถามกลับ ‘จะดีหรือคะ? สภาพตอนนี้แค่เดินยังต้องให้อัศวินชินพยุงให้เลยนะคะ กลับไปนอนแล้วค่อยมาวันหลังจะดีกว่านะคะ’
ผมส่ายหัวให้เบาๆ
‘ถ้าที่สันนิษฐานมันถูก วันนี้น่าจะดีกว่าละนะ’
‘..เข้าใจแล้วค่ะ ถ้านั้นก็———-พาฉันไปเยี่ยมหลุมศพของเพื่อนหน่อยได้หรือเปล่าคะ?’
‘ด้วยความยินดี’
ผมตบไหล่ชินเบาๆ
“มีที่จะแวะอีกหน่อยน่ะ”
“…กระผมว่าไว้วันหลังดีกว่านะครับ”
“ยูนาเขาวานน่ะ”
“—-อ๊ะ แต่ว่า …อือ เข้าใจแล้วครับ แต่เดี่ยวผมช่วยพยุงไปตลอดทางเองนะครับ”
หึๆ เหมือนกับผมเป็นลูกคนดังแล้วอ้างชื่อพ่อได้ตลอดเลยแฮะ
‘แบบนั้นนิสัยจะเสียเอานะคะ’
‘ไม่เป็นไรหรอกน่า เห็นผมเป็นโชตะน่ารักแบบนี้ แต่จริงๆ ปาไปจะสี่สิบแล้วนา’
‘—–ค่ะ พ่อโชตะน่ารัก’
เป็นเสียงที่ดูไร้อารมณ์ร่วมเหลือเกิน ฮะๆ
ผมเดินนำโดยที่มีชินพยุงให้ และมียูนาคอยบอกทาง
เส้นทางที่ไร้ถนนนำทาง มีเพียงพื้นหญ้าเปล่าๆ เท่านั้น แต่เดินได้พักเดียวพวกเราก็มาอยู่ตรงหน้าดอกไม้สีขาวเลือง ลาง—ราวกับอยู่คนละโลกกัน
‘ดอกไม้ที่ดูอ่อนแอ’ นั่นคือคำนิยามที่มีให้กับดอกไม้นั่น
…บนพื้นหญ้าไกลออกไปจนถึงสุดขอบเหว มีเพียงดอกไม้แสนอ่อนแอนี้เท่านั้น กำลังนำทางผม
‘นั่นคือดอกไม้เมื่อสมัยพันปีก่อน เป็นดอกไม้ที่เพื่อนของฉันชอบเอามากๆ แม้ว่าสมัยก่อนมันจะเป็นเพียงดอกไม้ไร้ค่าที่หาดูได้ง่ายยิ่งกว่าแสงสว่างจากท้องฟ้า …เมื่อก่อนโลกใบนี้ถูกปกคลุมด้วยความมืดน่ะคะ กว่าจะมีแสงสว่างสาดส่องลงมาที่ใดสักแห่งจำเป็นต้องรอเป็นอาทิตย์หรือเดือนเลย ต่อครั้งเดียว กลับกัน ดอกไม้ไร้ประโยชน์นี่กลับเรืองแสงทุกครั้งเมื่อความมืดมาถึง’
ยูนาเล่าให้ฟัง อย่างกับกำลังย้อนความหลังของตัวเอง ความทรงจำที่แสนล้ำค่า
‘บ้างก็ว่าดอกไม้นี่คือดอกไม้แห่งหายนะเชียวนะคะ พอเอาเรื่องนี้ไปแซวก็ดันโวยวายเถียงอย่างกับเด็กน้อย โตกันแล้วแท้ๆ …ถึงตัวฉันที่จะโวยวายเถียงกลับมันจะไม่ต่างกันก็ตาม’
ผมรู้สึกได้ถึงความรู้สึกของยูนา—-เธอกำลังมีความสุขเมื่อเล่าเรื่องราวในอดีต
‘น่าเสียดาย ที่ในสมัยนี้ดอกไม้แสนไร้ประโยชน์ที่รักของเธอคนนั้น ได้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์จนน้อยคนนักที่จะรู้จัก และน้อยสถานที่นักที่จะมีมัน เหตุผลที่ดอกไม้เหล่านี้ยังคงอยู่ได้ถึงปัจจุบัน เป็นเพราะเหล่าภูตที่พากันรักษาไม่ให้มันจางหายไป ก็แค่นั้นแหละคะ’
ชั่งอ่อนแอ และไร้ประโยชน์
‘เป็นดอกไม้ที่ไร้ประโยชน์และลำบากคนเขาไปทั่วเลยละคะ นี่น่ะ ….’
ผมไม่ทักถามอะไรทั้งนั้น ทำเพียงเดินหน้าต่อไปท่ามกลางดอกไม้
แสงละอองสีขาววนเวียนไปมา มันดูมืดมน และน่ากลัว—–ทั้งอย่างนั้นในสายตาใครบางคน มันกลับสวยงาม
‘เธอคนนั้นเคยพูดเอาไว้คะ ว่า ‘แม้ดอกไม้เหล่านี้จะน่ากลัว แต่มันก็มอบแสงสว่างให้กับผู้คนเมื่อความมืดมาถึง ถ้าตีความว่าเช่นนี้แล้ว—–มันก็เป็นดอกไม้ที่อ่อนโยนมากเลยนะ เราคิดอย่างนั้น เพราะเราเองก็ถูกแสงสว่างนี้เยียวยาจิตใจเหมือนกัน …ยูนาไม่คิดอย่างนี้บ้างเหรอ’ น่ะคะ …หึ ถึงตอนนั้นฉันจะไม่ได้ตอบอะไรเลยก็เถอะ’
….
ไม่นานนักก็มาถึงหลุมศพขนาดเล็ก ซึ่งไม่ได้ถูกประดับให้สวยหรูแต่อย่างใด เป็นเพียงหลุมศพเรียบๆ ที่หากไม่มีดอกไม้เหล่านี้นำทาง คงคิดว่าเป็นแค่ก้อนหินสำหรับนั่งชมวิวเท่านั้น
‘—–ไม่ได้เจอกันนานนะ’ ยูนากล่าวขึ้น
ในหลุมศพได้สลักชื่อของเธอเอาไว้ ‘—-ซากุระ’ นั่นคือชื่อของเธอ
‘…ฉันมาเยี่ยมล่าสุดก็ตั้งสมัยมีกายเนื้อ และอายุแค่ 500 ปีเองคะ ไม่ได้มาตั้งสองสามพันปี ไม่รู้เลยจะพูดอะไรดี ถึงพูดไปจะไม่ได้ยินและตอบไม่ได้ก็เถอะ’
อย่าคิดอย่างนั้นสิ
‘นั่นสินะคะ’
—-ร่างวิญญาณของยูนาปรากฏออกมา
เธอที่ใส่ชุดสบายตัวอย่างชุดฝึกดาบ ซึ่งเป็นเสื้อสีขาวและกางเกงขายาวอันใหญ่ กับรองเท้าแตะ
ยูนานั่งลงตรงหน้าหลุมศพของผู้เป็นที่รัก
‘..ฉันกำลังจะทำตามคำขอนั่นแล้วนะ เพราะฉะนั้นไม่จำเป็นต้องรอลุ้นอะไรหรอก …ขอโทษนะ ไม่ได้เจอกันตั้งนาน พอดีว่าฉันรอมัวเลือกเจ้านายมากเกินไปหน่อยน่ะ กว่าจะได้ก็ปาไปสองพันกว่าปีแล้ว’
…ยูนาดูลำบาก และอึดอัด
‘คือว่านะ …คุยลำบากจังเลยนะ พอไม่มีเสียงโวยวายของเธอเนี่ย———–อยากเจอกันอีกสักครั้งจริงๆ’
ยูนาเงียบลงหลังพูดจบ เธอทำเพียงก้มหน้าเท่านั้น——เธอหยิบดอกไม้สีขาวจางใกล้ตัว และยื่นราวกับตั้งใจโชว์
‘จริงๆ แล้วฉันไม่ได้เกลียดดอกไม้นี่หรอกนะ …มันอาจจะจริงเหมือนกับที่เธอพูดก็ได้ ว่ามันคือแสงสว่างที่อยู่เคียงข้างผู้คน แม้ในยามที่ถูกความมืดครอบนำ …ใช่ นั่นน่ะฉันก็คิดเหมือนกัน——เพราะครั้งแรกที่เราเจอกันน่ะ เธอไม่ต่างอะไรกับดอกไม้นี้เลยไงละ’
——เธอยิ้ม
‘เธอมันไร้ประโยชน์ มีเพียงความฉลาดน้อยๆ นั่นเท่านั้นที่โอ้อวดชาวบ้านได้ วันๆ เอาแต่ร่าเริง ให้กำลังใจผู้คน ตามฉบับเจ้าหญิงที่น่าโมโห พอถึงเวลาจริงก็ไม่ใช่เธอหรอกที่จะช่วยใครได้ ถึงจะช่วยอย่างสุดตัวแต่มันก็ไม่ใช่เธอ ….ยกเว้นฉันแค่คนเดียวละนะ’
ยูนาวางดอกไม้นั่นไว้บนหลุมศพ
‘การเจอกันครั้งแรกของพวกเรา และตั้งแต่ครั้งนั้นยันตอนจบของเรื่องราว เธอเปรียบได้ดั่งแสงสว่างในชีวิตของฉัน มีแค่เธอเท่านั้น มีแค่เธอคนเดียว …ถ้าเกิดไม่มีผู้หญิงแบบเธอ ฉันก็จะไม่จับดาบสู้กับมังกรที่แข็งแกร่ง ถ้าเกิดไม่มีเธอฉันก็จะไม่รวมแผ่นดินและแยกทวีปออกจากกัน ถ้าเกิดไม่มีเธอ …ฉันก็คงจะไม่มีเหตุผลในการใช้ชีวิต เธอเป็นทุกอย่างของฉัน จากนี้ไปก็ด้วย เธอจะเป็นแสงสว่างของฉันตลอดไป เพียงแค่ความทรงจำของพวกเราที่จะไม่มีวันจางหายไป แม้ว่าดอกไม้—หรือตัวเธอ จะจางหายไปตลอดกาลแล้วก็ตาม’
พูดจบยูนาก็ลุกขึ้น และหันมายิ้มบางๆ ให้ผม
‘กลับกันเถอะค่ะ มาสเตอร์—-ฉันอดใจรอวันพรุ่งนี้ไม่ไหวแล้วน่ะคะ’
“นั่นสินะ …กลับกันเถอะชิน”
“อ๊ะ ครับ เรียบร้อยแล้วสินะขอรับ”
“อืม ว่าแล้วเชียว ต้องมาตั้งแต่แรกนั่นแหละถึงจะดี”
กลับดีกว่า——–ผมคิดเช่นนั้นอย่างสบายอารมณ์โดยหาคิดเลยว่า ปัญหาใหญ่กำลังถูกโถมเข้ามา
——เส้นผมสีแดงเพลิงถูกสายลมพัด
สาวน้อยตรงหน้าผู้มีเส้นผมสีแดงราวกับเพลิง ดวงตาสีเหลืองของมังกร และเขาสีดำบนหัว ผิวสีแทนอ่อนๆ สูงราว 153 ซ.ม. เธอมองมาที่พวกผมด้วยใบหน้าที่ตะลึง และหวาดกลัว————-ผมจำได้ดีถึงภาพลักษณ์นั้น ตัวตนที่ได้รับความนิยมเป็นอันดับต้นๆ ตลอด———
“…หนึ่งในสี่มังกรธาตุ มหามังกรเพลิง ‘ฟัฟนิร์’ ”
มังกรผู้ถูกยูนาพิชิตจนเสียพลังไปทั้งหมดเก้าส่วน และมังกรผู้สังหารเพื่อนเพียงคนเดียวของยูนา—–โจทย์ใหญ่ของยูนา
‘——–ฟัฟนิร์ ใช่มั้ย?’
ยูนาเธอกล่าวออกมาด้วยเสียงที่เรียบเฉย แต่กลับน่ากลัว … ‘ฟัฟนิร์’ ซึ่งถูกเรียกเช่นนั้นใบหน้าก็เกิดซีดเผือดทันใด
….การพบกันอีกครั้งคราวนี้ ทั้งสองจะปรับความเข้าใจกันได้ไหมนา—–ก็บ้าแล้ว ผิดเวลาสุดๆ
‘หายนะ’ มีแต่คำนี้เท่านั้นในหัวผม ณ เวลานี้
