เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? - ตอนที่ 158

< < 114 Sec9 > >
หนิงโผล่มาอย่างกับฮีโร่เสร็จ หล่อนก็ทำตะเบ๊ะให้ผม ไม่รู้ทำไปทำไม แต่หนิงก็แบบนี้แหละ
“วันนี้วุ่นวายสุดๆเลยเนอะ เรเซอร์”
“นั่นสิ เจอแต่ล่ะอย่าง ทำเอาอยากนั่งร้องไห้เลยล่ะ” ผมหัวเราะแห้งๆ “เมื่อกี้เทียนหลงสินะ”
“น่าจะใช่แหละ มังกรที่ดูสวยๆงามๆอย่างนั้น”
เทียนหลงคือมังกรสวรรค์ เป็นที่แน่นอนอยู่แล้วที่มังกรที่อยู่ในสวรรค์จะต้องมีรูปร่างที่สง่างามดังที่เห็นตอนนี้เป็นปกติ
ว่าแต่ว่า
“ช่วยเล่าความเป็นมาที”
“ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์นะ แต่เดี่ยวเล่าเท่าที่รู้ล่ะกัน”
ผมฟังการเจอกันของหนิงกับเทียนหลง รวมถึงเรื่องที่โซล่าคิดจะฆ่ายูจิ ไม่ได้บอกเหตุผล หลังจากเคลียร์กับโซล่าแล้วหนิงก็สู้กับเทียนหลงจนทำให้เกาะวาเรอร์สั่นเป็นระยะๆ ก่อนหน้านี้ไม่นานจู่ๆเทียนหลงก็เปลี่ยนท่าทีจากจะสู้กับหนิงมาเป็นบินไปตามทางที่จอมมารอยู่แทน หนิงเห็นท่าไม่ดีเลยเกาะหางเทียนหลงตามมาด้วย
และกลายมาเป็นสถานการณ์ในตอนนี้
เทียนหลงกำลังฟัดกับจอมมารอยู่บนฟ้าอย่างดุเดือด การต่อสู้บนฟ้านี้ยากที่จะเข้าไปแทรกเพราะทั้งเทียนหลงและจอมมารไม่ใช่พวกเดียวกันทั้งคู่ ถ้าเข้าไปอาจจะโดนสองตนนั้นรุมกินโต๊ะก่อนก็เป็นได้
แต่ยังไงซะ ไม่ว่าใครจะชนะแต่ผมก็ต้องสู้กับคนใดคนหนึ่งอยู่ดี
“นี่ บิลเซบับ”
“ฮึย!!”
ผมทักหาบิลเซบับที่ทำท่าจะย่องหนีไป ..บิลเซบับค่อยๆหันหน้ามาทางนี้ด้วยใบหน้าที่ซีดเผือก
“วะ ว่าไง”
“จอมมารทำอีท่าไหนถึงทำให้เทียนหลงเดือดขนาดนั้นได้เนี่ย”
เทียนหลงที่บินไปมาบนฟ้านั้นคำรามออกมาไม่หยุด ว่าตามตรงในฐานะมนุษย์ย่อมรู้สึกกลัวรึสงสัยในสิ่งมีชีวิตยักษ์อย่างมังกรบ้างแม้จะเล็กน้อย
“..”
“เร็วๆสิ”
“ก็นี่ไงค่ะ เทียนหลงน่ะเป็นมังกรข้ารับใช้ของทวยเทพนะ มันคือมังกรที่คอยอารักขาเหล่าเทพอยู่บนสวรรค์ ในศึกสุดท้ายท่านจอมมารตัดสินใจถล่มสวรรค์จนเละจึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องสู้กับเทียนหลงด้วย ใช่ ในศึกนั้นท่านจอมมารฆ่า ‘อานิม่า(เทพแห่งจิตวิญญาณ)’ ที่เทียนหลงคอยรับใช้ต่อหน้าต่อตา ทำให้เทียนหลงมันแค้นท่านจอมมารและตามล่าท่านในทุกๆยุคสมัยที่ท่านจอมมารลืมตาตื่น”
แบบนี้นี่เอง ว่าแต่
“ทำไมหล่อนทำท่ากลัวตลอดอย่างนั้นล่ะ”
บิลเซบับตัวสั่นไม่พอหน้าซีดตลอด อีกทั้งขณะที่พูดกับผมหล่อนก็มองแต่หน้าหนิง
“..สัมผัสได้ถึง ‘ท่านเทียแมท’ จากเด็กคนนี้ค่ะ”
เทพมังกรเทียนแมท? อ๋อ จะว่าไปพลังของหนิงก็ถือว่าเป็นส่วนหนึ่งของเทพมังกรสินะ
มหามังกรเกิดมาจากวิญญาณของเทพมังกรที่แยกออกเป็นสี่ส่วน เทพมังกรตั้งแต่อดีตก็ถือว่าเป็นจุดศูนย์กลางของมานาอยู่แล้วด้วยทำให้มหามังกรที่แยกออกมาจึงเป็นศูนย์กลางของมานาแทน แค่แยกออกเป็นสี่ส่วนก็เท่านั้น
แต่ดูจากที่ถามบิลเซบับคงจะไม่รู้ว่าหนิงเป็นผู้สืบทอดพลังของฟัฟนิร์ ถ้านั้นก็ปล่อยให้ไม่รู้ต่อไปแหละดีแล้ว
“เห็นห้าวกับเทียนหลงแท้ๆ ไหงกับเทียแมทดันกลัวล่ะเนี่ย”
“เลเวลมันต่างกันนะ! เทียบกับท่านเทียแมทแล้วเทียนหลงนี่มังกรวัด!”
มังกรวัด!? เทียแมทนี่แกร่งจริงแหละ แกร่งสุดในหมู่เทพเลยแต่ถึงขนาดทำให้เทียนหลงเป็นมังกรวัดได้เนี่ยเกินคาด ไม่สิ เป็นไปไม่ได้หรอก แค่เปรียบเทียบให้ดูเว่อร์ๆไว้เฉยๆแหละ
“อ๊ะ ก็ไม่ถึงขนดานั้นหรอก”
นั่นไง
“แต่ท่านเทียแมทน่ะแข็งแกร่งสุดๆเลยนะ พี่ชายของท่านจอมมารยังเอาชนะได้ยากเลย”
พี่ชายของจอมมารที่มีแข็งแกร่งที่สุดเสมอต่างกฏสินะ ตัวละครที่ดูยังไงก็ตัวสำคัญแต่ไม่เคยโผล่มาในเรื่องเลย ..ไม่สิ อาจจะเคยโผล่ก็ได้ แต่มันไม่เคยมีเฉลยเลยว่าใครเป็นพี่ชายของจอมมาร
“แล้วทำไมหล่อนถึงแทนเทียแมทว่าท่านล่ะ เป็นศัตรูของนายท่านของตัวเองไม่ใช่หรือไง”
“..ท่านเทียแมทเป็นเจ้านายเก่า ..แล้วก็เขาค่อนข้างนิสัยดี”
“ก็ยังอุตส่าห์หันเคี้ยวเข้าใส่ได้นะ ไอ้เด็กเนรคุณเอ้ย”
“หนวกหู! ท่านจอมมาคือที่หนึ่ง! คนนอกน่ะเงียบไปเลย!”
จู่ๆบิลเซบับก็โวยวาย และตั้งท่ามวยจีนเข้าใส่พวกผม
“เข้ามาสิ! จะฆ่าฉันไม่ใช่? ทำได้ก็ลองดู”
“ไม่รู้ทำไมเหมือนกันแต่อีนี่ขวานหูขวานตาชะมัด”
“งะ!!”
บิลเซบับตัวแข็งทื่อทันใด หน้าตาดูกลัวหนิงสุดหัวใจเลย ให้เดาคงจะมีความหลังไม่ดีกับเทียนหลงเสียเท่าไหร่
“เป็นไร เงียบทำไมหะ”
“ปะ เปล่านะคะ คือ”
กลัวซะแล้ว บิลเซบับกลายเป็นหมาหงอยแล้ว–หนิงเดินเข้าไปหาบิลเซบับด้วยท่าทางห้าวเป้งอย่างกะนักเลง
“มีอะไรก็พูดมาสิ เมื่อกี้ห้าวนักไม่ใช่รึไง ยังท้าทายกันอยู่เลยนี่ ทำได้ก็ลองดูสินะ? ก็เอาสิ เดี่ยวจะทำให้ดูเอง อยากตายท่าไหนบอกได้เลย”
“มะ มะ ไม่บังอาจแล้วค่ะ! ขอโทษที่ลามปามค่ะ!”
—-ตู้ม!!!!!!
ก่อนที่หนิงจะได้ทำอะไรมากกว่านี้ เกาะวาเรอร์ก็สั่นอีกครั้ง แถมสัมผัสยังใกล้จากตรงนี้มากด้วย–ผมหันไปมองตามเสียงและพบกับเทียนหลง ใช่ เทียนหลงตัวเป็นๆที่นอนแน่นิ่งอยู่กับพื้น แสงสีทองที่เปร่งมาจากร่างของเทียนหลงค่อยๆดับลงจนไม่มีแสง เหลือแต่ร่างมังกรสีทองเปล่าๆเท่านั้น
หมดสติ? คงอย่างนั้น
พร้อมกันกับที่จอมมารล่วงลงพื้น จอมมารก็โผล่ออกมาบนตัวเทียนหลง เธอยืนอยู่บนหัวเทียนหลงและมองมาทางนี้
“สัตว์ประหลาดเอ้ย” ผมสบถออกมา
ใช้เวลาแค่นิดเดียวในการโค่นเทียนหลงนี่มันเหนือสามัญสำนึกสุดๆ
แต่หากมองอีกมุมเทียนหลงก็เป็นคู่ต่อสู้ที่ง่ายสำหรับจอมมาร เพราะจอมมารมีพลังการทำลายล้างที่มากที่สุด กับเทียนหลงที่ตัวใหญ่เกินความจำเป็นจึงเป็นได้แค่เป้านิ่งให้จอมมารอัดท่าใหญ่ใส่ ต่อให้เป็นร่างมังกรที่ขึ้นชื่อเรื่องความถึก แต่ก็ต้านเพลิงสีขาวของจอมมารไม่ไหวหรอก
ถ้าใช้ร่างมนุษย์คงจะถ่วงเวลาได้มากกว่านี้แท้ๆ ถึงจะแพ้อยู่ดีก็เหอะ
“ท่านจอมมาร!!”
บิลเซบับวิ่งไปหาจอมมารอย่างโล่งอก เพราะคนที่คอยคุมกระลาหัวโผล่มาแล้ว
“เป็นการต่อสู้ที่งดงามมากเลยค่ะ”
“เทียนหลงในสภาพพึ่งตื่นก็แค่คนเมา ต่อให้เป็นบิลเซบับก็คงชนะได้”
“อ๊ะ ..ค่ะ นั่นสินะคะ”
โกหก บิลเซบับโกหกออกไปหน้าด้านๆเลย รับคำว่าชนะเทียนหลงได้เนี่ย? หน้าไม่อายเลยแฮะ ดูแล้วจอมมารก็น่าจะแค่พูดแกล้งหลอกล่อบิลเซบับเล่นอีกแล้วแหงๆ
จอมมารส่งสายตามาทางหนิง
“ก็ว่าใคร หนิงนี่เอง ผู้ถือครองศาสตร์เทพของลุงเทียแมท”
ศาสตร์เทพ เอาไว้เรียกอาวุธหรือตัวตนที่เกิดจากเทพในอดีต อาทิเช่น ‘ไฮดร้า’ หรือ ‘เคียวของอลิซาเบธ’ ก็ถือว่าเป็นศาสตร์เทพทั้งสองอย่าง
“เกี่ยวข้องกับท่านเทียแมทจริงๆด้วยสินะคะ ..ว่าแต่ผู้ถือครองศาสตร์เทพของท่านเทียแมทไม่ใช่สี่มหามังกรหรือคะท่านจอมมาร”
“เรื่องมันค่อนข้างยาวนะ–ไว้ค่อยคุยกัน”
“คะ ค่ะ!”
จอมมารกระโดดลงจากหัวของเทียนหลง บิลเซบับวิ่งหลีกทางให้จอมมารทันที ทำตัวได้สมเป็นลูกไล่มาก
“ไม่ใช่แค่เรเซอร์ แต่เราคงต้องส่งหนิงไปโลกหน้าด้วยสินะ”
บนมือของจอมมารกำเพลิงสีขาวเอาไว้ กับเพลิงที่ทำให้เทียนหลงหมดสภาพได้ ถ้ามนุษย์อย่างผมโดนเข้าไปไม่เหลือแม้แต่ฝุ่นแน่
“เบลลามีแปลกๆไปนะ”
หนิงสะกิดไหล่ผมด้วยศอก
“จอมมารต่างหาก”
“..จอมมาร?”
“โทษทีนะ แต่ไม่มีเวลาอธิบายแล้ว”
“เข้าใจล่ะ ไว้ค่อยเล่าให้ฟัง”
จอมมารเขวี้ยงเพลิงสีขาวเข้าใส่—-เร็วมาก แต่ยังอยู่ในขอบเขตุที่ตอบสนองได้ทัน
หนิงยกแขนขึ้นมาและอัดเพลิงสวนกลับ ทว่าเพลิงสีขาวกลับกลืนเพลิงของหนิงทั้งหมดได้อย่างง่ายดาย
“บ้าน่า”
ตลอดมาเพลิงของฟัฟนิร์คือจุดสูงสุดของพลังทำลายล้าง ไม่มีทางที่เพลิงของมหามังกรจะแพ้พลังของผู้ใดแต่นี่คือครั้งแรกเลย
ผมดึงตัวหนิงมาทางผมให้พ้นขอบเขตุของเพลิงสีขาว ..เป็นครั้งแรกที่หนิงส่งสายตาหวาดกลัวออกมา เพราะสัญชาตญาณของมหามังกรน่าจะบอกหนิงแล้วว่าจอมมารคือตัวอันตราย
“ถ้าโดนเข้าไปสักทีได้ตายจริงๆแน่ อย่าได้เข้าไปปะทะตรงๆเด็ดขาด”
“..เข้าใจแล้ว”
“ถ้าจะโจมตีจอมมารให้ใช้เพลิงของฟัฟนิร์รูปแบบวงกว้างเท่านั้นนะ”
หนิงพยักหน้าให้ผม เป็นอันเริ่มสัญญาณ
ผมวิ่งออกข้างขวาตัวจอมมาร ส่วนหนิงก็กระโดดขึ้นไปลอยตัวบนฟ้าและกระหน่ำโจมตีใส่จอมมาร
เปลวเพลิงของฟัฟนิร์จำนวนมหาศาลพุ่งออกมาอย่างกับว่ายิงไม่เลือกมิตรศัตรู เป็นความเสียหายวงกว้างไม่พอยังเยอะด้วย ผมไม่คิดว่าบนโลกนี้จะมีใครปัดทุกการโจมตีนี้ได้โดยไม่ขยับตัวหนี
จอมมารกระโดดถอยหลังโดยที่อุ้มบิลเซบับไปด้วย
หากว่ากันตามตรง ร่างกายของจอมมารไม่ได้ทรงพลังอะไรมากนัก จอมมารไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ด้วยความเร็วสูง หากวัดแค่ความไวผมไว่กว่าด้วยซ้ำ ซึ่งนั่นคือจุดอ่อนเพียงไม่กี่อย่างของจอมมาร
จอมมารโยนบิลเซบับขึ้นฟ้า และกระโดดขึ้นไปในระดับสายตาเดียวกับหนิง
ผมพุ่งตัวไปประชิดหลังจอมมารอย่างรวดเร็ว
“ท่านจอมมารระวังหลัง!!” บิลเซบับที่ลอยอยู่บนฟ้าร้อง
แบบนี้นี่เอง โยนบิลเซบับไปช่วยมองการเคลื่อนไหวของผมสินะ
“ตื้นไปนะ เรเซอร์”
จอมมารเอียงตัวหลบผมกลางอากาศ เพราะเธอสามารถยืนแตะอากาศได้
[มิติกระจก]
ผมส่งตัวเองเข้าไปในมิติกระจก ก่อนหน้านี้ผมตัดมิติไว้อยู่สี่จุดรอบตัวจอมมาร ผมสามารถวาร์ปไปตามจุดที่ตัดไว้ได้ตามต้องการ
จากนี้จะเริ่มการโจมตีที่มองไม่เห็น โดยที่มีหนิงคอยหยุดการเคลื่อนไหวของจอมมารเอาไว้
“–สี่จุดสินะ”
จอมมารทดแทนความเร็วด้วยประสาทสัมผัสที่น่ากลัว
สามารถมองมิติกระจกของผมได้อย่างทะลุปุโปร่ง ต่อให้วาร์ปหลอกยังไงจอมมารก็คงเดาได้ว่าจะมาทางไหน
แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา
มิติกระจกมีไว้เพื่อเป็นออฟชั่นเสริมเท่านั้น
ดินจำนวนมหาศาลพุ่งออกจากพื้นกว่าสิบจุด
“เวทมนตร์ดิน—หรือว่า”
ไม่ใช่แค่ประสาทสัมผัส แต่จอมมารมีปัญญาที่เป็นเลิศ เธอสามารถรู้ทุกการกระทำของผมได้ ยิ่งได้ความทรงจำเกี่ยวกับผมจากเบลลามีมาด้วยยิ่งทำให้เธอมองผมได้ทะลุ แต่ว่าต่อให้รู้ก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนไปหรอก
“[เอิร์ธฟิลด์]”
ฟิลด์ขนาดยักษ์ปกคลุมรอบตัวจอมมาร รวมถึงดินกว่าสิบจุดที่พุ่งขึ้นมาจากบนพื้นด้วย
ไม่ใช่แค่มิติกระจกแต่ผมยังสามารถวาร์ปไปตามเอิร์ธฟิลด์ได้ด้วยกว่าสิบจุด
ต่อให้มีประสาทสัมผัสที่ดีเลิศยังไง แต่ก็ไม่มีทางเดาได้ถูก หรือต่อให้เดาถูกก็ไม่มีทางตามทัน
ตรงหน้าคือหนิงที่กระหน่ำโจมตี ข้างหลังมีผมที่คอยหาช่องว่างอัดให้ล่วง แถมยังมีตัวถ่วงแบบบิลเซบับอยู่ด้วย
“[ทวนสายฟ้า]”
ผมเรียกทวนสายฟ้าออกมากว่าสิบทวน จากนั้นก็เขวี้ยงใส่จอมมารเก้าทวน และเขวี้ยงใส่บิลเซบับหนึ่งทวน
“อาาาาาาาาาา!!!!”
บิลเซบับร้องลั่นกลางอากาศ เธอไม่มีพลังมากพอจะปัดทวนสายฟ้าที่เป็นเวทมนตร์ขั้นบรรลุได้ ด้วยเหตุนั้นจอมมารจึงต้องลำบากไปช่วย
จอมมารเมินทวนสายฟ้าที่ตามติดเธอไปและกระโดดไปเผาทวนสายฟ้าของผมออกได้แค่หนึ่ง
อีกเก้าอันที่เหลือพุ่งเข้าใส่จอมมารต่อ–จอมมารโยนบิลเซบับลงไปกระแทกกับพื้นดิน จากนั้นก็เรียกเพลิงสีขาวออกมาห่อหุ่มทวนทั้งเก้าอันได้ แต่ว่านั่นก็ปรากฏให้เห็นช่องว่าง—-
“[กิก้า—บีม!!!!!]”
หนิงชาร์จพลังจากในปากและยิ่งเข้าใส่หลังของจอมมาร—ต่อให้เก่งแค่ไหนแต่ก็มีขีดจำกัดในการรับมือ จอมมารถูกอัดพลังเข้ากลางหลังตรงๆ อีกทั้งยังตอบโต้การโจมตีไม่ได้
ร่างของจอมมารถูกบีมของหนิงซัดไปบนฟ้า—
ตู้ม!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
เสียงระเบิดของบีมดังสั่น ความรุนแรงนี่บางทีอาจจะมากพอจะระเบิดเกาะวาเรอร์ทิ้งได้เลยล่ะ
..ว่าแต่ [กิก้าบีม] นี่มันอะไรหว่า ใช่ท่าเดียวกับที่หนิงจะใช้ตอนโดนควบคุมจิตใจบนปราสาทลอยฟ้าเทล่าเทลหรือเปล่านะ? ช่างเถอะ เอาเป็นว่าตั้งชื่อได้ไม่มีเซนส์เอาเสียเลย
ผมไม่ได้ใส่ใจอะไร เพ้งสมาธิไปที่จอมมารซึ่งไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง
“เรเซอร์”
“อะไร”
“เหมือนว่าจะยังอยู่แฮะ”
หนิงบอกอย่างนั้น ..
โดนไปขนาดนั้ยังไม่ตายเนี่ยนะ—
ตุ้บ!!!!!!!!!! ร่างของจอมมารดิ่งลงพื้น
ควันฟุ้งขึ้นทันที แต่ผมไม่ยอมให้ควันมาทำเสียวิสัยทัศน์ ผมใช้เวทย์ลมปัดควันทั้งหมดออกทำให้เห็นจอมมารได้ชัดเจนเลย
จอมมารตอนนี้ ..อยู่ในสภาพปางตาย
เนื้อตัวเต็มไปด้วยบาดแผลสาหัส แขนข้างซ้ายและขาข้างซ้ายหายไป บนตัวมีเพลิงสีขาวติดอยู่ด้วยคงจะใช้หักล้างกับบีมของหนิงในระยะประชิดเกินไปจนได้รับความเสียหายเองบ้าง แต่ก็ถือว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า เพราะถ้าโดนสิ่งนั้นเข้าไปตรงๆไม่มีทางรอดแน่
จอมมารหายใจหอบ เพราะผ่านการตั้งรับที่ดุเดือดเมื่อสักครู่มา
ก็อยากจะเฮอยู่หรอก แต่ว่าถ้าเมื่อกี้จอมมารปล่อยบิลเซบับให้ตายๆไปตัวเองก็คงจะไม่เป็นอะไรเลยแท้ๆ ..ทำไมกันนะ ในเมื่อบิลเซบับตายแล้วก็เกิดใหม่ได้นี่? ทำไมถึงต้องจงใจปกป้องบิลเซบับจากทวนสายฟ้าของผมขนาดนั้น?
ให้เดาอาจจะเกี่ยวข้องกับ ‘ข้อผิดพลาดของโลก’ ที่ติดตัวผมมา นี่คือเช็ตติ้งพิลึกที่ทำให้จอมมารยอมปางตายเพื่อช่วยลูกน้องของตัวเอง
“จงออกมาซะ”
จอมมารพึมพำขึ้นมา ..ทันใดนั้นมิติเบื้องหน้าถูกแหวกออก ตรงหน้ามีเพียงแค่สีขาวที่ไร้ซึ่งสิ่งสกปรก หากให้นิยามมันคือสีขาวที่บริสุทธิ์
ผมสังหรณ์ใจไม่ดีทันทีที่เห็น หนิงเองก็ด้วย พวกเรารีบวิ่งเข้าใส่จอมมาร แต่ว่าก็พลาดแล้ว
หากถามว่าพลาดตั้งแต่ตอนไหน
ก็คงต้องบอกว่าพลาดตรงที่ฆ่าจอมมารให้ตายในทีเดียวไม่ได้ ..ละมั้ง?
“อย่าปล่อยให้ทำอะไรมากกว่านี้!!!!!!”
“รู้แล้วน่า!!!!!”
ทั้งผมและหนิงแผดเสียงร้องสุดเสียง แต่ก็ไม่ทัน
เพลิงสีขาวพุ่งออกมาล้อมตัวจอมมารไว้
“[ไฟเยอร์บอล]”
ผมอัดบอลเพลิงขนาดยักษ์เข้าใส่จอมมารพร้อมกับหนิง พวกเรารู้ดีว่าเพลิงสีขาวไม่ได้สามารถป้องกันได้ทั้งหมด
จอมมารทนรับเพลิงของผมและหนิงไว้ตรงๆ แม้ว่าร่างกายจะถูกเผาแต่ก็ไม่มีสีหน้าที่เจ็บปวดออกมาเลย กลับกัน ผมกลับรู้สึกเจ็บปวดแทนที่ต้องทำให้ร่างกายของเบลลามีได้รับบาดแผล
แน่นอนว่าสามารถรักษาได้ในภายหลัง แต่ว่า—มันอดจะรู้สึกแย่ไม่ได้
ทุกครั้งที่เห็นร่างกายของจอมมารได้รับบาดเจ็บ ห้วงเวลาก็เหมือนกับถูกหยุดลง ..ในห้วงเวลานั้นผมสังเกตุเห็น–รอยยิ้มที่อยู่มุมปากของจอมมาร
“ออกมาซะ [ดาบแห่งโซโลม่อน]”
แสงสีขาวพวยพุ่งออกมาจากฝ่ามือของจอมมารปิดบังวิสัยทัศน์ทั้งหมดของทุกคนในบริเวณนั้น ร่างกายของผมพลันหยุดนิ่งให้กับการระเบิดของพลังนั่น ราวกับว่ามันคือสัญชาตญาณของสิ่งมีชีวิต
แต่ทั้งหมดก็จบลงในเสี่ยววิเดียว แสงสีขาวถูกดูดกลับไปที่ฝ่ามือของจอมมารและมันก็ค่อยๆหลอมรวมกันเป็นรูปของ ‘ดาบ’ ที่ทั้งด้ามและปลายดายมีแต่สีขาวอันบริสุทธิ์
ไม่มีเพชรพลอยหรือว่าสิ่งใดประดับ ที่เห็นก็แค่ก้อนสีขาวที่อยู่ในรูปทรงของดาบ มันคือพลังปริศนาแต่ผมรู้จักมันดีกว่าใครๆ
ผมรู้ดีว่าทันทีที่ดาบเล่มนี้โผล่—มันจะหมายถึงความพ่ายแพ้ของพวกผม
ดาบที่ใช้ฆ่าทวยเทพในคราเดียว สะบั้นได้ทุกสรรพสิ่ง ดาบที่ทรงพลังที่สุดในประวัติศาสตร์โลกใบนี้ ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ ดาบสำหรับผู้ตั้งตนเป็นศัตรูของทวยเทพ
“—หนิง!!!”
ต้องรีบหนี
ไม่ทันที่จะได้ทำอะไร แขนของหนิงก็หลุดออกจากร่าง—อีกทั้งร่างกายของจอมมารยังกลับมาเหมือนก่อนสู้อีก
หนิงกระโดดถอยหลังออกมา และพยายามจะห้ามเลือดไว้ด้วยแขนอีกข้าง
“..เรเซอร์ ..รักษาแขนไม่ได้” หนิงกัดริมฝีปากตัวเองเพื่อข่มความเจ็บปวดเอาไว้
..ใช่แล้ว
พลังของ ‘ดาบแห่งโซโลม่อน’ คือการตัดทุกสรรพสิ่งโดยไม่สนใจกฏของโลก กับทวยเทพมันสามารถฆ่าทิ้งได้โดยไม่สนการฟื้นฟูหรือว่าพลังตอบโต้อะไร ทันทีที่ถูกดาบเล่มนี้แตะร่างพลังก็จะหายไปราวกับไม่เคยมีอยู่ มันสามารถตัดพลังทุกอย่างบนโลกเพื่อปกป้องตัวเองได้ ไม่ว่าจะเพลิงของฟัฟนิร์ หักล้าง ไสยศาสตร์ดาบแห่งโซโลม่อนสามารถสะบั้นทุกอย่างให้สิ้นได้ อีกทั้งยังสามารถรักษาตัวเองได้ภายในการตวัดดาบครั้งเดียว
ต่อหน้าดาบเล่มนี้ เพลิงของฟัฟนิร์ไม่สามารถทำอะไรได้ ถ้าเกิดหนิงพลาดโดนฟันขึ้นมาก็รักษาไม่ได้และตายทั้งอย่างนั้นเลย ..
หากพูดถึงข้อจำกัดก็คงจะมีแค่มันไม่สามารถใช้ทำลายคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับทวยเทพได้โดยตรง ..ซึ่งจุดนี้หนิงเกี่ยวด้วยเต็มๆเลย รวมถึงยูจิด้วย กับผู้ถือของศาสตร์เทพทุกคนบนโลก มันคือดาบสั่งตาย
..ต่อให้จอมมารจะฆ่าผมไม่ได้ตรงๆ แต่ว่าพลังของดาบก็สามารถทำลายตัดมิติของผมได้หมด รวมถึงทุกการโจมตีของผมจากนี้ก็ไม่สามารถสร้างบาดแผลให้จอมมารได้อีกแล้ว เพราะเพียงแค่จอมมารตวัดดาบครั้งเดียว ทุกการโจมตีหรือร่างกายที่สาหัสก็จะหายไปราวกับไม่มีการต่อสู้
..ไม่เห็นรู้เลยว่าจอมมารสามารถใช้ดาบเวรนี่ได้ตั้งแต่ช่วงแรก ไม่ใช่ว่ามันมีเงื่อไนสุดหินอยู่หรือไง …ถ้าตามเงื่อนไขที่ผมรู้ไม่มีทางที่จอมมารจะใช้ได้แท้ๆ
อย่างไรก็ช่าง ..การที่ดาบโกงเข้าขั้นบ้าบอนี่โผล่มา มันบ่งบอกถึงวิกฤตของจริงแล้วล่ะ
