เกิดใหม่เป็นตัวร้ายโหลยๆแล้วทำไม? - ตอนที่ 44

< < 36 > >
การมาเยือนของแซร์อิซนั้นผ่านมาและผ่านไป รวดเร็วทันใจจนแอบเหงา แม้จะไม่ได้สนิทอะไรมากต่างกับฟัฟนิร์ แต่แซร์อิซก็รู้สึกน่าสนใจไม่น้อย ตัวอลิซก็ด้วย พวกเขาล้วนน่าสนใจ
น่าเศร้าที่ผมรู้จักกับพวกเขาได้เพียงผิวเผินเท่านั้น
ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ และสวมชุดนักเรียนอย่างเร่งรีบต่างกับทุกที
“พวกมังกรธาตุไม่นิยมปักหลักนานๆละมั้ง”
ฟัฟนิร์ก็ด้วย แซร์อิซก็ด้วย รีบกันเหลือเกิน
เห้อ ไม่ได้รับรู้การใช้ชีวิตอยู่ของฟัฟนิร์ไม่พอ ยัง..จะมาสร้างความตะหงิดตะขวงใจให้กันอีก
ผมหยิบจดหมายที่แซร์อิซทิ้งไว้ขึ้นมาดู
‘ชิน สหายของเจ้ายังไม่ตาย’ แซร์อิซเขียนไว้เช่นนั้น
…ผมพับจดหมายลงดั่งเดิม และใส่กระเป๋าคาดเอวของตัวเอง บ่งบอกว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ
“..ชิน..เหรอ”
อัศวินที่ผมได้ให้คำมั่นสัญญาไว้ว่า ‘จะมาเป็นสุดยอดนายบ่าว’ ด้วยกัน ในอดีตเคยตกลงกันไว้เช่นนั้น แต่ไม่นานชินก็ตายจากไปเพราะสงคราม
นั่นก็เป็นหนึ่งในจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ผมออกเดินทางลอบโลก เพื่อตามหาเขา และเรียนรู้เกี่ยวกับโลกใบนี้มากยิ่งกว่าเดิม ..สุดท้ายก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับชินเลย พอมาตอนนี้ดันมีมหามังกรวายุมาบอกว่า ‘ชินยังไม่ตาย’ อีกเนี่ยนะ
เรื่องตลกอะไรกัน
“หมอนั่นจะเป็นยังไงบ้างนะ”
ผมหวนนึกถึงชิน ไม่สามารถวางความฟุ้งซ้านออกจากหัวได้ นั่นเป็นหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ผมไปโรงเรียนช้ากว่าทุกที เพราะเอาแต่นั่งมองไข่ตัวเองในห้องน้ำ ..
“…ให้ตายเถอะ”
‘ก็เข้าใจอยู่หรอกนะค่ะ ว่าอยู่ในวัยคลั่งรักน่ะมาสเตอร์ แต่ตอนนี้ท่านควรจะจดจ่อกับงานสำคัญ ซึ่งจะมาถึงในเร็วๆนี้มากกว่า’ ยูนาตักเตือน
ไม่ได้คลั่งรักสักหน่อย ..แต่ก็จริงของยูนา
มันใกล้มาถึงแล้ว จุดเปลี่ยนสำคัญของเรื่องราว ‘งานสานสัมพันธ์’
งานที่จะนำพาหนิง(นางเอกผู้เข้าวิน) กับยูจิ(พระเอก) ให้รู้จักกันและสานสัมพันธ์ต่อจนกลายเป็นเพื่อน โดยงานๆนั้นคีย์หลักสำคัญก็คือตัวผม…ใช่ ผมเองละ
ผมได้บูลี่ยูจิตั้งแต่ปฐมนิเทศน์ และยาวจนมาระเบิดลงที่งานสานสัมพันธ์ ซึ่งตอนนั้นผมหัวเสียและปาถุงมือใส่ยูจิ ความหมายคือการท้าดวล
เรเซอร์ท้าทายไปโดยหารู้เลยว่ายูจิ ณ ตอนนั้นพัฒนาไปถึงไหนแล้ว … ยูจิได้รับการฝึกสอนจากหนิง ก่อนจะเริ่มงานสามสัมพันธ์ เนื่องจากหนิงมีความโหยหายูจิตั้งแต่เด็กแล้ว มายันปัจจุบันเมื่อเห็นโอกาสเลยเข้ามาเพื่อสอนยูจิรับมือกับเรเซอร์แบบลับๆ
และถึงยูจิจะแกร่งขึ้นแบบผิดหูผิดตาก็ยังไม่อาจเอาเรเซอร์ในเวลานั้นลงได้ (แม้ตอนนั้นจะไม่มียูนา และหลายอย่างด้อยกว่า) การต่อสู้เลยดำเนินไปแบบสูสี—-จนกระทั่ง!! ยูจิระเบิดพลังเรียนวิญญาณระดับเทพ ‘อลัน’ ออกมา
ทันใดนั้นผลก็ได้เปลี่ยน ทุกการโจมตีของเรเซอร์ถูกหักล้างด้วยอลัน ทั้งหมดสะท้อนกลับไปและเบี่ยงไปทางอื่นจดหมดไม่ถึงตัวยูจิ สุดท้ายเรเซอร์ก็พลาดท่าโดนบอลเพลิงของยูจิเข้าไปจนแพ้อย่างย่อยยับและน่าอับอาย
เรื่องมันน่าเศร้าที่ความน่าอับอายของเรเซอร์ ดันกลายเป็นความสำเร็จของยูจิ ..แต่ก็สมควรละ ทำตัวเองล้วนๆเลยไอ้ตัวร้ายกระจอกนั่น
‘เป็นการพ่ายแพ้ที่น่าอับอายเหลือเกินคะ หลังจากนั้นก็ไปหาฉันแล้วใช้กลอุบายอะไรสักอย่างทำให้ยอมทำพันธสัญญาด้วยอีก’
อ่า ประมาณนั้นแหละ เจ้าหมอนั่นในนิยายต้นฉบับทั้งน่าหมันไส้และขี้แพ้สุดๆ ซ้ำร้ายยังใช้วิธีสกปรกเพื่อครอบครองยูนาอีก เป็นตัวผมที่น่าโมโหสุดๆ ไม่อยากจะนึกย้อนไปเลยเรื่องเมื่อตอนนั้น
พอได้ยูนาก็มาอาละวาดที่โรงเรียนอักครั้ง สุดท้ายก็โดนยูจิที่พาวเวอร์อัพอีกครั้งจัดการและชิงยูนามาอยู่ด้วยแทน …หากจำไม่ผิด ตอนจบก็โดน NTR ลูกเมียด้วย
ตัวร้ายกระสอบทราย ขอขนานามให้เลย มาตอนนี้ก็ยังเป็นกระสอบทรายอยู่ดีแหงๆ คิดว่า ก็ชะตากรรมมิอาจเลี่ยง
“วะฮ่า ฮะ”
ผมหัวเราะสไตล์แซร์อิซแบบไร้น้ำหนักจบ ก็สะพายกระเป๋าออกจากห้องไป เดินตรงไปโดยที่ใส่แรงเร่งฝีเท้าเล็กน้อย เนื่องจากจะเริ่มโฮมรูมแล้——–บล็อคเซอร์
ใช่ บล็อคเซอร์
ตรงกลางทางเดิน มีบล็อคเซอร์ทรงผู้ชายของใครไม่รู้อยู่ …อยู่เหนือการคาดเดา มันไม่ควรจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น ไอ้ดาจาวูนี่น่ะ
ผมกุมขมับตัวเองและเร่งสมองสุดขีด ประหนึ่งมหาปราชญ์
ทำไม อะไร ที่ไหน—–คิดเช่นนั้นวนไปมาก็ไม่ได้อะไร ผมเลยหันมาตั้งคำถามง่ายๆแทนว่า—-ใครทำ
“เคียวยะเหรอ? ไม่หรอก ไม่มีทาง ..แล้วใครกัน”
หรือว่าจะเป็นอิทธิพลจากการกระทำของผม เลยทำให้พวกเด็กเกเรนิยมทำตามกันเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ บ้าจริง นี่ผมกลายเป็นตัวร้ายที่สร้างธรรมเนียมประจำกลุ่มจิกโก๋ให้ขโมยเครื่องนุ่มห่มส่วนร่างของชาวบ้านเขา แล้วหรือเนี่ย ไม่จืดเลยอีแบบนี้
ทำไงดียูนา ฉันควรทำยังไงดี กับสิ่งที่ตัวเองได้ก่อไป ฉันควรทำยังไงดี
‘ก่อนอื่น ตั้งสติคะ จากนั้นก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น’
..เข้าใจแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของฉันสักหน่อย
‘ใช่แล้วค่ะ แม้จะตกเป็นผู้ต้องสงสัยในอนาคต แต่ก็ต้องหาทางแก้ต่างให้ตัวเองได้แน่นอนค่ะ แค่ท่องไว้ว่า ‘ไม่รู้วๆ ไม่รู้วๆ ไม่รู้วๆ’ ค่ะ’
แบบนี้นี่เอง…เข้าใจแล้ว
“ไม่รู้วๆ ไม่รู้วๆ ผมไม่รู้วๆ ผมไม่รู้วๆ”
ผมท่องเช่นนั้นและกะจะเดินผ่านมันไปแบบไม่สนใจ …ทว่าดันมีคนคุ้นหน้า ที่พบเจอเหตุการณ์เดจาวูเช่นผมอยู่
ไอ้เวรนั่งแอบตรงริมทางเดิง ราวกับเฝ้ารอใครสักคนเดินผ่านมา .. ‘เรย์’ นั่นเอง
ชายหนุ่มผู้เป็นน้องชายของชิน และเพื่อนแท้ของยูจิ ตัวละครเพื่อนพระเอกที่บทอาภัพไม่ต่างกับผมเลย
เป็นคนที่น่าเห็นใจ จึงพอทำเมินได้บ้าง ที่สำคัญเป็นน้องชายสุดรักของชินด้วย
ผมจ้องมันไม่วางตา ..หมือนจะรู้ตัวแล้ว เรย์ถึงกับสะดุ้งเฮือกแล้วหันซ้ายหันขวาไปมา ก่อนจะเดินมาหาผม
“หวัดดี เรเซอร์บังเอิญจังนะ”
“จะว่าชะตาลิขิต หรือความจงใจอันเลวร้ายดีละ”
ผมใช้หางตามองคนตรงหน้า
“-พ พูดจริงจังเกินไปละพวก!” เรย์เดินเข้ามาจะจับไหล่ แต่ผมก็ไม่ยอมให้จับ “…-ฉ ฉันไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้นา”
“ถ้านั้นก็ช่วยอธิบายมาทีสิ เรย์”
เรย์พยักหน้ารับด้วยความรู้สึกผิด
“คือเรื่องอย่างนี้นะ …เหมือนกับครั้งก่อนละ ฉันบังเอิญไปเจอบล็อคเซอร์นี่กลางทางเดินเข้า เลยนั่งรอใครสักคนผ่านมาเพราะไม่กล้าไปจับ”
“อ่า …ชอบทำแต่เรื่องยุ่งยากจริงนะ แกเนี่ย”
“โทษทีละกัน แต่เพื่อความชัวส์สิ วันนี้ฉันไปสาย ถ้าเกิดมีคดีขึ้นมาฉันก็ตกเป็นผู้ต้องสงสัยพอดีดิ”
นั่นสินะ ใครๆก็รักชีวิต อย่างผมเอง ไม่อยากจะเป็นเป้าโดนด่าเพราะการขโมย กกน. อีกแล้วเช่นกัน …
“แต่อีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญที่สุด” เรย์ชี้ไปที่บล็อคเซอร์ด้วยสีหน้าจริงจัง “นั่นคือบล็อคเซอร์ของ ‘ยูจิ’ ไม่ผิดแน่”
——–หา!!
“-ค ใครบังอาจมาทำยูจิกัน!”
ต้องประหารมัน
“หลักฐานคือบล็อคเซอร์ยูจิจะมีรอยยับชื่อตัวเองไว้อยู่”
คำว่า ‘ยูจิ’ เป็นตัวอักษรขนาดยักษ์ไว้ที่สลักกลางบล็อคเซอร์ เป็นสีฟ้าดูสดใสด้วย ..
ยูจิมาจากสถานเลี้ยงเด็กเหมือนเบลลามี พวกเขาไม่ได้มีตังค์มากนักจึงต้องใช้จ่ายอย่างประหยัด และถ้าทำอะไรหายก็ต้องหาให้เจอให้ได้ ..โดยใช้วิธีปักชื่อไว้นั่นแหละ
แต่ใครกันที่มาวางบล็อคเซอร์ของยูจิไว้อย่างนี้
“แล้วทำไมแกไม่เอาไปให้ยูจิเลยละ?”
“..ก็มัน ..กลัวยูจิเข้าใจผิดน่ะ แล้วกะจะดักจับคนร้ายด้วย”
แบบนี้นี่เอง จะว่าเข้าใจได้ก็ได้อยู่
ผมกอดอกและใช้หลักเหตุผลต่างๆคิด
“เอาเป็นว่า—เอาไปคืนดีกว่า เรื่องหลังจากนั้นค่อยคิดทีหลัง ยูจิไม่ใช่คนที่คิดเล็กคิดน้อยหรอก”
“อ่า”
ผมกับเรย์จึงเดินไปนั่งยองตรงบล็อคเซอร์นั่น และเป่ายิ้งฉุบกันว่าใครจะเอาไปคืน—-ผมเป่าแพ้ละ
*****
เรย์ให้คำว่าจะตามยูจิตอนพักเที่ยงให้ โดยผมกับยูจิต้องนัดส่งอุปกรณ์ …หมายถึงบล็อคเซอร์ยูจิ แน่นอนว่าแบบลับๆ ไม่เช่นนั้นชื่อเสียของผมคงเพิ่มพูนขึ้นอีกเท่าตัว
แค่คิดก็เสียวสันหลังแล้วละ
ไม่นานช่วงพักเที่ยงก็มาเยือน ผมลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางครึงคัง
“เป็นอะไรอีก?” เคียวยะถามขึ้น
ทำไมพูดอย่างกับผมชอบก่อเรื่องเลยละ?
“แค่จะไปส่งของ…อ๊ะ อย่ามองนะมันน่าอาย”
หมายถึงอย่าใช้ดวงตามหาปราชญ์ที่มี มองไปยันจุดหมายของผมน่ะ ไรงี้
“..อ่า เข้าใจแล้ว จะปล่อยๆไปก็ได้—-ไม่ใช่สิ! คิดว่าเป็นใครมาสั่งกันละหะ!!”
“-อ ไอหมอนี่!”
ตาของเคียวยะเลืองแสง ก่อนที่ทุกอย่างจะเงียบลงพร้อมกับแสงที่ดับไป
บรรยากาศเงียบไปในทันที
เคียวยะนั่งลงที่เดิม และทำทีไม่สนใจ
“จะทำเป็นไม่สนใจละกัน”
ไม่อยากยุ่งสินะ
“-ข ขอบใจละกัน”
“อ่า เดี่ยวฉันไปกินข้าวกับกอรี่แทนละกัน”
“เข้าใจแล้ว”
ขอบพระคุณที่เข้าใจหัวอกกัน
**
ผมเดินไปตามจุดรับส่งของ—-พอไปถึงก็พบยูจิในสภาพที่เปื้อนไปด้วยสีน้ำ
“…เอ๊ะ”
มองออกไปก็พบว่ามีชายราวสองสามคนเดินผละจากยูจิ ด้วยสีหน้าท่าทางระรื่นย์
“…ไอเวรนั่น”
หัวโจกของเจ้าพวกนั้นชื่อ ‘การ์ป’ เป็นคนที่มาหาเรื่องผมเมื่อไม่กี่วันก่อน
ผมพุ่งตัวเข้าใส่ กะจะกระซากหลังคอเสื้อของการ์ป แต่ยูจิดันเข้ามาขวางไว้ซะก่อน
ยูจิพยายามใช้แขนอ่อนแรงสองข้างปรามผมไว้
“-ย อย่าเลยครับ คุณเรเซอร์”
“..คิดดีแล้วนะ?” ผมผละตัวออกจากแขนของยูจิ และถอนหายใจ “ปล่อยไว้แบบนี้ เดี่ยวจะมีครั้งต่อไปอีก”
…ยูจิหลบตาของผม
เขาเกาแก้มตัวเองนิดๆพลางหัวเราะเบาหวิวให้
“พวกคุณการ์ปแค่เผลอทำสีไม้หกใส่เองครับ เค้าบอกว่าพึ่งเลิกคาปศิลปะมา”
“คาปศิลปะวันนี้มีเรียนที่ไหนละ พวกเวรนั่นมันตั้งใจแหงๆ”
“..ถึงนั้นก็เถอะ นี่ครั้งแรกเองนะครับ”
ยูจิพยายามบ่ายเบียง เพื่อไม่มีปัญหาขัดแย้งกัน ..พระเอกคนนี้เป็นเช่นนี้แหละ รักสงบและใจดีจนเกินไป
แม้ความใจดีนั่นจะเป็นผลร้ายกับเรเซอร์อย่างผมก็ตาม
ส่งมอบเครื่องนุ่มห่มให้ยูจิเสร็จแล้ว พวกเราก็แยกย้ายกัน
ตัวผมที่ว่างเพราะกลุ่มเพื่อนอย่าง กอรี่และเคียวยะ ไปกินข้าวก่อนแล้ว จึงมานั่งหงอยๆอยู่ริมทางเดิน โดยยัดขนมปังราคาถูกเข้าปาก
อือ สัมผัสก็ละมุน หน้าตาก็น่ากิน เสียอย่างเดียวรสชาติหมาไม่แดก
อย่างที่เคยว่าไว้เมื่อนานมาแล้ว หลายต่อหลายอย่างบนโลกใบนี้ด้อยกว่าโลกเก่าผมนัก โดยเฉพาะอาหาร กล่าวได้ว่าขนมปัง 5 บาทที่บ้านเก่าผมราคาพอๆกันกับขนมปังพรีเมี่ยมของที่นี่เลยแหละ
“เอาเถอะ สุดท้ายก็ทำได้แค่บ่น สู้กินให้หมดแล้วไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์กว่าการนั่งบ่นดีกว่า …ใช่ จะทำยังไงกับเจ้าการ์ปนั่นดี”
กล้านักมาทำยูจิของผมได้ ทูลหัวลำดับ 2 รองจากเบลลามีเลยนะนั่น
“การ์ปสินะ รู้สึกจะเป็นลูกชายของท่านไวเคานต์มากชื่อเสียง ที่พักนี้ทำผลงานได้หน่อยเพราะคอลัปชั่น”
จู่ๆก็มีคนมาพูดกรอกริมหู ทำให้ผมสะดุ้งเฮือกแล้วหันไปมองอย่างลนลาน
หญิงสาวผู้มีเลือนผมสีขาวเลือนลาง ดวงตาเหลืองประหนึ่งตาของมังกรร้าย ร่างกายสมส่วนในทางที่ดี บ่งบอกถึงอาหารการกินและการออกกำลังกายอย่างถูกวิธี สูงถึง 169 ซ.ม.
เธอคือหญิงสาวที่งดงามราวกับภาพวาด ชื่อของเธอคือ ‘หนิง’ นางเอกของไลทโนเวลแห่งยุค เนื้อคู่ของยูจิ
ผมกับเธอจ้องหน้ากัน
“แล้วคนอย่างนายไปสนใจอะไรในตัวการ์ปละ?”
หนิงซ้อนตามองผมด้วยความสงสัย ดูไร้เดียงสาและอยากรู้อยากเห็นประหนึ่งเด็กอ่อนต่อโลก แม้แววตามังกรนั่นจะดูดุเล็กน้อย
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่มีปัญหากันภายใน”
“มีอิสระดีจังนะ จะทะเลาะวิวาทกับใครก็ได้เนี่ย”
จริงๆแล้วผมทำไม่ได้หรอก แค่ผมจะทำมันแค่นั้น
นั่นแหละวิทีเด็กเกเร ฮะๆ
“ปัญหาภายในที่ว่าคืออะไรละ?”
จะรู้ไปทำไมกันนะ
“ไม่บอกหรอก ไม่ได้สนิทกันสักหน่อย”
“..ไม่ใช่ว่าสนิทกันแล้วเหรอ? …ไม่สิ”
หนิงกอดอก หลับตาครุ่นคิดกับตัวเอง ก่อนจะคลี่ยิ้มให้ผม
“เข้าใจแล้ว ..ถ้านั้นเอาเช่นนี้เป็นไง” เธอยกนิ้วขึ้นมาเพื่อนับเลข “กับคู่วิวาทของนาย ฉันจะให้ข้อมูลทุกอย่างที่อยากจะรู้ แลกกับการที่บอกฉันเรื่องเนื้อหาภายใน แล้วก็”
หนิงยกอีกนิ้วตามมา
“ช่วยหาวิธีสานสัมพันธ์กับยูจิให้ฉันทีสิ”
พูดจบก็เกิดสีแดงระเรือขึ้นบนแก้มหล่อน
“..เรื่องยูจิไปเกี่ยวอะไรด้วยละนั่น?”
หนิงหลบหน้าผมอย่างลุกลี้ลุกลน
“เมื่อก่อนเคยมีเรื่องอะไรกันมาน่ะ ถ้าเป็นไปได้อยากจะกลับไปสนิทกันเหมือนตอนนั้น”
ก็แค่เที่ยวกันในงานวันเกิดหล่อนวันเดียวน่ะเหรอ? ..ให้ตายเถอะ
ผมเข้าใจดีเกี่ยวกับความคิดของหนิงในตอนนนี้ ——–เวลาแค่นั้นสำหรับเธอก็นับว่ามีแค่มากแล้ว
นั่นแหละเหตุผลที่เธอต้องการรู้จักกับผมและยูจิ ก็อุตส่าห์สัญญากันไว้แล้วนี่ แต่..เรื่องของยูจิกับหนิงยังไม่ใช่ตอนนี้
“ไม่ละ ฉันจัดการปัญหาด้วยตัวเองได้”
“…ไม่ว่ายังไงก็ไม่ได้จริงๆหรือ?”
หนิงพึมพำเบาหวิว ตั้งคำถามกับผมอย่างจริงจัง
“…”
“…ไม่ได้จริงๆเหรอ?”
แหงอยู่แล้วสิ มันต้อง …มันต้องจำเป็นยึดติดกับเนื้อเรื่องขนาดนั้นเลยเหรอ? ตัวผมน่ะ
‘ไร้สาระคะมาสเตอร์’ ยูนาทักขึ้น ‘ไม่ใช่ว่ามาสเตอร์ได้พลังของฉันไปเพื่อให้ตัวเองทำตามใจชอบได้หรือไงคะ?’
แม้แต่ยูนาผู้เย็นชายังว่าอย่างนั้นเลย—-เห้อ ถ้าผมยังเฉยเมยต่อไปกับหนิง คงจะใจร้ายไปหน่อย
“เข้าใจแล้วๆ จะให้ช่วยก็ได้”
“จริงเหรอ!?” หนิงยิ้มร่าต่างกับลุคเข้มขรึมปกติ “แล้วให้ทำอะไรบ้างละๆ”
นั่นสินะ ต้องบอกก่อนมั้งว่าต้นเรื่องมาจากไหน เรื่องข้อมูลของเจ้าการ์ปก็ค่อยฟังจากหนิงเอา
“เรื่องของเรื่องคือยูจิโดนคนชื่อการ์ปรังแกน่ะ ก็เลยจะทะเลาะวิวาทกันสักหน่อย”
“ยูจิ..ยูจิสุดที่รักโดนแกล้ง?”
สุดที่รัก??
ได้ยินปุ้บหนิงก็ตัวแข็งเป็นหินในทันที ….ก่อนที่ดวงตาของมังกรจะค่อยๆเลืองแสงออกมา พร้อมกับรอยยิ้มมุมปากน่าสยอง ทั้งๆที่โฉมหน้าคือสาวสวย แต่เธอกลับดูดุร้าย ราวกับสิ่งมีชีวิตนักล่าสูงสุด
นี่ละใบหน้าของผู้มีสายเลือดฟัฟนิร์ในตัวเก้าส่วน
“—การ์ป ลูกชายท่านไวเคานต์ชื่อดัง ปัจจุบันนี้ที่บ้านกำลังไปได้ดีผนวกกับที่ตัวเองเหมือนจะมีพรสวรรค์ทางเวทย์ระดับนึง จึงเกิดความหลงตัวเองและชอบมองผู้อื่นด้อยกว่า ความฝันคืออัศวินเวทมนต์ ..พินิจสัยดูแล้ว มีวิธีฆ่าแบบเนียนๆอยู่ 23 วิธี”
“-ก ก็ขอบใจอยู่หรอกนะ แต่วิธีฆ่าไม่เอาเฟ้ย”
โหดชะมัดยัยคนนี้
“วิธีแรก—”
“บอกว่าไม่เอาไงยัยนี่!!”
หนิงสะดุ้งเฮือกเหมือนสติหลุดไป
“-ท โทษที”
หนิงหยิบผ้าเช็ดหน้าสีขาวขึ้นมาเช็ดมุมปากของตัวเอง ..เมื่อกี้สัญชาตญาณดิบของมังกรคงโผล่มาแหงเลยคุมสติไม่อยู่ (หนิงมีเลือดฟัฟนิร์ 9 ส่วน)
ถ้าหนิงเป็นพวกหัวร้อนง่าย ป่านนี้พุ่งตัวไปเด็ดหัวการ์ปละมั้ง โชคดีจริงๆที่คาแรคเตอร์หล่อนยังรู้จักยั้งคิดยั้งทำบ้าง
“..ยูจิโดนแกล้งยังไงเหรอ? เผื่อจะหาวิธีแก้ได้”
“โดนพวกการ์ปมันปาสีน้ำใส่น่ะ สงสัยวันก่อนจะเคืองที่เข้ามาห้ามฉันทะเลาะวิวาทกับมัน”
“ต้นเหตุก็คือนายสิแบบนั้น”
หนิงใช้สายตาทำทีข่มขู่ผม
“เปลี่ยนไปหมายเร็วไปแล้วเฟ้ย ฉันมาดีไม่ได้ผิดอะไรด้วย ไม่นั้นไม่หาวิธีช่วยยูจิหรอก”
“เข้าใจอยู่หรอก แต่มันห้ามตัวเองไม่ได้น่ะ โทษทีละกัน”
“อืมๆ เข้าใจๆ บางครั้งฉันก็อดใจไม่อยู่เวลาโดนคนที่ไม่รู้จักเรียกว่าโจร กกน.”
หนิงพยักหน้าพร้อมกับผม แบบคล้องจองกัน
“แล้วยูจิโดนแกล้งล่าสุดตอนไหนเหรอ?”
“ไม่กี่นาทีนี้เอง”
หนิงหันหลังให้ผมและออกวิ่งทันใด
“เห้ย รีบไปไหน!?”
ผมพยายามวิ่งตามหนิงไป แต่เธอไม่สนใจสักกะนิด———-
“——ฉันจะปลอบประโลมยูจิในช่วงสิ้นหวังเอง!!”
“เป็นเจ้าหญิงก็อย่าตะโกนเรื่องผู้ชายกล้างแจ้งเซ้!”
