หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 559
ตอนที่ 559 งานค่อนข้างลำบากกว่า (4)
“ใต้เท้าเฟิงสมกับเป็นผู้นำของเหล่าขุนนางจริงๆ พูดได้ว่ากล้าหาญและภักดีต่อต้าอวิ๋นของข้าจริงๆ!”
“ท่านอ๋องตรัสชมเกินจริงแล้วพ่ะย่ะค่ะ! การจงรักภักดีเป็นหน้าที่กระหม่อมอยู่แล้ว”
“ฮ่าๆ ถูกต้อง ถูกต้อง!”
เยี่ยนอ๋องและเฟิงจงเยี่ยเสวนากันตลอดทางเข้าวังหลวง
ในราชสำนักไท่จี๋ ขุนนางยืนอยู่ตรงนี้มากมายโดยไร้ซึ่งสรรพเสียง
พร้อมกับเสียงแส้ดังสามครั้ง เสียงแหลมดังจากด้านหลังฉากกั้นเก้ามังกร “ฝ่าบาทเสด็จ!”
ขุนนางทั้งหมดหมอบกราบลงพลางทูลทรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี
ฮ่องเต้ใช้ผ้าตาข่ายสีเลือดหมูปิดพระเนตรไว้พลางพยุงแขนของไหวเอินค่อยๆ เสด็จประทับบนเก้าอี้มังกร พร้อมตรัสช้าๆ “ทุกคนลุกขึ้นเถอะ”
ขุนนางทั้งหลายทูลขอบพระทัยอย่างพร้อมเพรียง แล้วค่อยๆ ลุกขึ้นยืน
ถึงแม้ขุนนางจะมองฮ่องเต้โดยตรงไม่ได้ ทว่าฮ่องเต้ไม่ได้มาเข้าราชสำนักเช้านานมากแล้ว วันนี้กลับใช้ผ้าปิดพระเนตรไว้หนึ่งชั้น ทุกคนก็รู้สึกไม่ดีทันที แม้กระทั่งยังมีคนเดาว่าพระเนตรบอดหรือเปล่า
ฮ่องเต้พระเนตรบอดก็ควรหลีกบัลลังก์ให้คนอื่นหรือเปล่า จะมีองค์ชายใดขึ้นครองราชย์ไหม เหิงจวิ้นอ๋อง? จิ้งจวิ้นอ๋อง หรือว่าเหิงจวิ้นอ๋องจะมีโอกาสมากกว่า อย่างไรช่วงนี้เขาก็คือผู้ปกครองแผ่นดินชั่วคราว
ในราชสำนักจึงมีเสียงดังขึ้นรอบทิศ ราวกับแมลงวันนับหมื่นบินเข้ามา ฮ่องเต้ประทับบนเก้าอี้มังกรอย่างสง่าผ่าเผย ทรงกระแอมไอสองทีเบาๆ เหล่าขุนนางรีบปิดปาก จากนั้นน้อมรับพระราชโองการของฮ่องเต้
“ไม่ได้เจอทุกคนมานานแล้ว!” ฮ่องเต้ยิ้มจางๆ “เจิ้นเฝ้าคะนึงถึงพวกเจ้าอย่างมาก ดังนั้นถึงได้เข้าราชสำนักเช้าในวันนี้”
ตรัสถึงเช่นนี้ ขุนางที่จงรักภักดีถึงกับน้ำตาคลอ แล้วหมอบกราบลงอีกครั้ง จากนั้นทูลด้วยเสียงสะอื้น “กระหม่อมก็เฝ้าคะนึงถึงฝ่าบาท! ฝ่าบาทได้โปรดรักษาพระวรกาย!”
“ฝ่าบาทมีพลานามัยที่ดี ถึงจะเป็นความโชคดีของต้าอวิ๋น!”
“ฝ่าบาททรงประชวร ทว่ากระหม่อมกลับไม่มีแผนการที่ดีในการแบ่งเบาภาระฝ่าบาท กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!”
“กระหม่อมสมควรตายพ่ะย่ะค่ะ!” เหล่าขุนนางที่ไม่รู้ว่าพระเนตรของฮ่องเต้กลับมาเป็นปกติต่างก็คุกเข่าลง แล้วขอพระราชทานอภัยด้วยเสียงสูง
ฮ่องเต้ทรงแย้มพระสรวลแล้วตรัส “เอาเถอะ ลุกขึ้นให้หมด นี่ไม่ใช่ความผิดพวกเจ้า” ขณะตรัส ฮ่องเต้ยกมือแกะผ้าสีเลือดหมูออก
เฟิงจงเยี่ย เยี่ยนอ๋อง เฉิงอ๋อง เจิ้นกั๋วกง และคนอื่นๆ ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดทราบเรื่องตั้งแต่แรก พระเนตรของฮ่องเต้ได้รับการรักษาจากเหยาเยี่ยนอวี่ ทว่าเมื่อครู่เห็นฮ่องเต้ปิดตาไว้ก็นึกว่ายังต้องใช้เวลาสักพักถึงจะรักษาให้หายได้ นึกไม่ถึงว่าฮ่องเต้กลับแกะผ้าออก?!
อีกประการ ฮ่องเต้หรี่พระเนตรทอดมองไปยังเหล่าขุนนางในราชสำนัก เหมือนเขาจะมองเห็นแล้ว
“ฝ่าบาท?!” เฟิงจงเยี่ยมองพระเนตรของฮ่องเต้อย่างไม่น่าเชื่อ
“เสด็จพี่ ทรงหายดีแล้วหรือ” เฉิงอ๋องก็ค่อนข้างเป็นห่วง ดูจากท่าทางของฮ่องเต้เหมือนแสงกำลังแยงตามาก จึงหรี่ตาลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ถามด้วยความเป็นห่วง “จะให้หมอหลวงเหยามาจับชีพจรให้เสด็จพี่หรือไม่”
“ฮ่า!” ฮ่องเต้แย้มพระสรวลอีกครั้ง “เจิ้นสบายดี”
“ฝ่าบาททอดพระเนตรได้จริงหรือ” เยี่ยนอ๋องถามอย่างตื่นเต้นดีใจ
“พี่รอง สร้อยลูกปัดของเจ้าดูไม่เรียบร้อย แต่เจิ้นก็ไม่ถือโทษเจ้าหรอก”
ฮ่องเต้แย้มพระสรวลอย่างเป็นมิตร ทำให้เยี่ยนอ๋องยิ้มจนหน้าแดงเล็กน้อย รีบก้มหน้ามอง ก็เห็นสร้อยลูกปัดซานหูแขวนคอพันกันสองเม็ดที่ดั่งที่คาด ดังนั้นรีบจัดให้เป็นระเบียบเรียบร้อย แล้วพูดเสียงดัง “กระหม่อมขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณของฝ่าบาท! ฝ่าบาทรงพระเจริญหมื่นปี! หมื่นๆ ปี!”
“เมื่อครู่กระหม่อมเห็นหมอหลวงเหยาด้านนอกตำหนัก กระหม่อมขอทูลถามว่าหมอหลวงเหยาเป็นคนรักษาพระเนตรหรือ” ถึงแม้เฉิงอ๋องจะรู้ตั้งแต่แรก ทว่าวันนี้พออยู่ในราชสำนักก็ยังจะถามอีกครั้ง
“แน่นอน” ฮ่องเต้ตรัสอย่างปลื้มปิติ “นอกจากหมอหลวงเหยาแล้วยังมีใครฝังเข็มรักษาอาการให้เจิ้นมองเห็นแสงสว่างอีกครั้งได้? หมอหลวงเหยาล่ะ”
ขันทีประตูราชสำนักขานเรียกเสียงสูง “พระราชโองการลงมาว่า…หมอหลวงเหยาเชิญเข้าราชสำนัก…”
“หม่อมฉัน หมอหลวงเหยาเยี่ยนอวี่ ถวายบังคมฝ่าบาทเพคะ” เสียงเย็นชาของสตรีดังขึ้นจากที่ไกลๆ และก้องกังวานอย่างชัดเจน ราวกับลำธารใสสะอาดที่ปะปนกับน้ำที่ละลายจากหิมะ
ทูลจบ คนทั้งราชสำนักต่างก็ตกตะลึง เหยาเยี่ยนอวี่ในตอนนี้น่าจะยังอยู่ห่างจากพวกเขาหลายสิบจั้ง ห่างไกลเช่นนี้ เหตุใดเสียงของนางถึงชัดเจนเช่นนี้
เหล่าขุนนางบุ๋นไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด ทว่าเหล่าแม่ทัพเดาได้ส่วนหนึ่ง สิ่งที่ทำให้คนรู้สึกแปลกใจ…สตรีที่ใกล้สิ้นใจในสี่ห้าเดือนก่อน เหตุใดถึงมีกำลังภายในที่แข็งแรงในวันนี้! นางทำได้อย่างไร! ยอดฝีมือใดที่คอยช่วยเหลือนาง
เหยาเยี่ยนอวี่เดินจากบันไดสวรรค์ฟากซ้าย เข้าไปในราชสำนัก
ชุดเครื่องแบบสีขาวนวลจันทร์ปักลายนกยูงพลิ้วไหวแม้ไร้ลม หมวกนกยูงบนศีรษะนั้นทำให้นางดูงดงามและราวกับหยกรูปงาม
นางดูผอมไปมาก ทว่าสีหน้ายังคงดูมีชีวิตชีวา แสงรุ่งอรุณในเทศกาลเข้าสู่เหมันต์ฤดูนี้สอดส่องบนเรือนร่างของนาง ทำให้นางทอประกายแสงสีทองออกมา ชายชุดคลุมพลิ้วไหวดุจเทพเจ้าบังเกิดบนโลกนี้
ทั้งขุนนางฝ่ายบุ๋นและบู๊บ้างก็ตกตะลึง บ้างคาดคิดไม่ถึงและบ้างก็อึ้งจนทำอะไรไม่ถูก แม้กระทั่งเหยาหย่วนจือยังตกตะลึงจนอ้าปากค้างเล็กน้อย ภายในใจลอบถาม นี่เป็นบุตรีข้าจริงหรือ เมื่อวานที่กำลังยุ่งวุ่นวาย จึงไม่ทันเห็นว่านางเปลี่ยนแปลงอะไรไป วันนี้กลับเปลี่ยนไปเป็นคนละคน?
ไม่รู้ว่าเมื่อวานเหยาเยี่ยนอวี่รีบเข้าวังรักษาฮ่องเต้หรือเปล่า หลังจากนั้นนางยังนั่งรถม้าคันเดียวกับบิดา ตอนที่ใกล้ชิดกับคนในครอบครัว แน่นอนว่าต้องผ่อนคลายที่สุดแล้ว จึงไม่ได้คงความสง่างามภายในตัว แต่กลายเป็นสตรีที่อ่อนโยนน่าดึงดูดใจคนเท่านั้น
และวันนี้นางที่เป็นหมอหลวง กลับได้มายืนตรงหน้าพระพักตร์ฮ่องเต้ตอนว่าราชสำนัก นางมาเพื่อรับการแต่งตั้งและขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณ การเผชิญหน้ากับฮ่องเต้และบรรดาขุนนางในวันนี้ ทำให้นางคงความสง่างามโดยไม่รู้ตัว กำลังภายในส่งไปทั่วเรือนร่างกาย ทำให้นางดูโดดเด่นราวกับแสงอาทิตย์ที่แยงตาคนอื่น
มีเพียงเว่ยจางที่ไม่เหมือนทุกคน เขากลับโทษตัวเองในใจ เหตุใดสตรีผู้นี้ถึงไม่รู้จักเก็บความสง่างามไว้หน่อย ดูสายตาของเฒ่าหัวงูพวกนี้ที่มองไปที่นาง แม่ทัพเว่ยใคร่เป็นบ้าแล้ว!
ขุนนางบุ๋นและบู๊ค่อยๆ แยกเป็นสองฝั่ง หลีกทางให้เหยาเยี่ยนอวี่เข้าไปด้านใน เหยาเยี่ยนอวี่ก้าวเข้าไปในราชสำนัก ระหว่างเดินขึ้นมาก็น้อมคำนับไป พร้อมพูดด้วยเสียงดัง “กระหม่อมเหยาเยี่ยนอวี่ ถวายบังคมฝ่าบาท! ขอให้ฝ่าบาททรงพระเจริญหมื่นปี หมื่นๆ ปี!”
“หมอหลวงเหยาเชิญลุกขึ้นเถอะ เมื่อวานเจ้าพูดคำๆ หนึ่ง เหมือนไม่ค่อยถูกต้อง” ฮ่องเต้แย้มพระสรวลด้วยความอ่อนโยน
เหยาเยี่ยนอวี่ตะลึงเล็กน้อย แล้วคารวะทันที “เพคะ หม่อมฉันน้อมรับคำสั่งสอนของฝ่าบาทเพคะ”
ฮ่องเต้ค้อมตัวลง แล้วมองเหยาเยี่ยนอวี่ “เจ้าบอกเจิ้นว่าไม่เห็นแสงมานานแล้ว กลัวว่าจะทนกับแสงแยงตาไม่ไหว เจ้าให้เจิ้นรอสองสามวันค่อยแกะ ทว่าเจิ้นสุดจะทนจริงๆ เพราะว่าเจิ้นไม่รู้สึกอะไรผิดแปลกไป เจิ้นเลยไม่รออีก!”