หมอหญิงจ้าวดวงใจ - ตอนที่ 560
ตอนที่ 560 งานค่อนข้างลำบากกว่า (5)
“ฝ่าบาทรับโองการสวรรค์ สวรรค์ปกปักรักษา ฉะนั้นไม่เหมือนคนทั่วไป เป็นหม่อมฉันที่หวาดระแวงเกินไปเพคะ!” เหยาเยี่ยนอวี่ขนลุกไปทั้งตัว ขณะที่พูดก็ก้มหน้าลง ช่วยไม่ได้ นางเป็นคนที่สัตย์ซื่อ โกหกทีไรก็มักรู้สึกสำนึกผิดทุกที
“ฮ่าๆ…” เห็นได้ชัดว่าฮ่องเต้โปรดปรานในคำพูดเหล่านี้ของนาง จึงแย้มพระสรวลอย่างรื่นเริงยินดี แล้วตรัสเสียงดัง “ไหวเอิน ประกาศพระราชโองการ”
ไหวเอินที่อยู่ด้านข้างคลี่พระราชโองการม้วนสีเหลืองออก แล้วอ่านด้วยเสียงแหลมจนทุกมุมในราชสำนักได้ยินอย่างชัดเจน “ด้วยโองการแห่งฟ้า ฮ่องเต้จึงทรงมีพระบัญชาว่าหมอหลวงขั้นที่สามแห่งสำนักแพทย์นามว่าเหยาเยี่ยนอวี่ มีวิชาและความสามารถทางแพทย์ที่เก่งกาจ มีคุณธรรมจริยธรรม หลังจากเข้าประจำการที่สำนักแพทย์ต้าอวิ๋น วิจัยคิดค้นสามสิบหกสูตรยาใหม่ขึ้นด้วยตนเอง เหยาเยี่ยนอวี่ไม่มีจิตใจละโมบโลภมาก ไม่เพียงแต่มอบยาเหล่านี้ให้ราชสำนัก ทั้งยังสร้างความสุขให้ประชาชน อีกทั้งยังอบรมทักษะและให้ความรู้ทางการแพทย์แก่ผู้ที่ใฝ่หาความรู้ ทำให้วิชาหมอเซียนของนางถ่ายทอดไปให้ผู้คน ซ้ำยังทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดรักษาผู้ป่วยเฉกเช่นเจิ้น เป็นการสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่ เลยแต่งตั้งหมอหลวงเหยาเยี่ยนอวี่เป็นย่วนพั่นฝ่ายซ้ายของสำนักแพทย์ และพระราชทานราชทินนามว่าฮูหยินฝู่กั๋ว ตบรางวัลหยกม่วงหนึ่งคู่ ฉากกั้นหยกขาวสองฉาก เตาธูปอวี้ซือหนึ่งคู่ ทองหนึ่งพันตำลึง เงินสองพันตำลึง บ้านสวนในภูเขาอวี้ ณ เฉิงซี ผ้าต่วนปักลายบุษบาสิบสองผืน ผ้าฝ้ายสิบสองผืน จู้หลัวสิบสองผืน ผ้าโปร่งชั้นดีสิบสองผืน! พระราชอนุญาตตามนี้!”
“ขอบพระทัยในพระกรุณาธิคุณ!” เหยาเยี่ยนอวี่คุกเข่าลงอีกครั้ง แล้วหมอบกราบสามครั้ง จากนั้นค่อยๆ ลุกขึ้นน้อมรับพระราชโองการของฮ่องเต้ แล้วถอยไปด้านหลังอีกครั้ง
ฮ่องเต้ลูบเคราด้วยสีพระพักตร์เบิกบาน “เจ้าไปรอเจิ้นที่ตำหนักจื่อเฉินเถอะ รอให้เจิ้นเสร็จจากราชสำนัก มีอะไรจะคุยกับเจ้า”
“เพคะ หม่อมฉันขอตัวลาเพคะ” เหยาเยี่ยนอวี่คุกเข่าอีกครั้ง จากนั้นก็ถอยออกจากราชสำนัก แล้วติดตามขันทีอายุน้อยคนหนึ่งไปตำหนักจื่อเฉิน
ไม่ต้องกล่าวถึงฮ่องเต้ที่เสด็จออกมาปกครองแคว้นใหม่อีกครั้ง เพียงกล่าวถึงเหล่าขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊เผชิญหน้ากับฮ่องเต้ด้วยความน่าอับอายอย่างไร อีกทั้งเหยาเยี่ยนอวี่ได้รับบำเหน็จมากมายเช่นนี้ ทำให้คนอิจฉาริษยาไม่น้อย คนอื่นคงไม่ต้องกล่าวถึง เพียงแค่กล่าวถึงเฟิงฮองเฮาในตำหนักเฟิ่งอี๋ที่ไม่สบอารมณ์เป็นคนแรก
“จริงหรือ!” เฟิงฮองเฮาได้ยินขันทีมาทูล จึงถามด้วยคิ้วขมวด
“กลางราชสำนัก ฝ่าบาททรงบัญชาให้ไหวเอินอ่านพระราชโองการต่อหน้าขุนนางฝ่ายบู๊ฝ่ายบุ๋น เรื่องนี้ฟังไม่ผิดแน่นอนพ่ะย่ะค่ะ”
“เหอะ!” สีพระพักตร์ฮองเฮาเย็นชา มือที่จับถ้วยชาแบบแก้วนั้นขาวซีด ดูท่าทางราวกับอยากจะบีบถ้วยชานั้นให้แตก
ขันทีที่อยู่ด้านข้างก้มหน้าไม่กล้าพูดอะไร กลัวว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงจะโกรธจนระบายทั้งหมดไว้ที่เขา
ผ่านไปสักพัก ฮองเฮาผายพระหัตถ์ให้ขันทีคนนั้นออกไป เขาจึงออกจากตำหนักเฟิ่งอี๋ทันที หลังจากนั้นก็เดินวนที่อื่นสองสามรอบถึงจะกลับตำหนักจื่อเฉิน พอเข้าประตูก็เจอกับขันทีเอกไหวเหริน
“ช้าก่อน! เจ้าหมอนี่ อยู่เวรดีๆ หนีไปไหนกันแน่?!” ไหวเหรินปรนนิบัติฮ่องเต้มาหลายปี ตำแหน่งจึงรองลงจากไหวเอิน เป็นขันทีที่ดูแลเหล่าขันทีน้อยและนางกำนัลในตำหนักจื่อเฉินทั้งหมดหกสิบหกคน
ขันทีน้อยหน้าซีดเซียวทันที หน้าผากชุ่มเหงื่อ ก้มหน้าจับท้องไว้ “เรียนกงกง ข้าน้อยไม่รู้ว่ากินอะไรผิดไป รู้สึกปวดท้อง…โอ๊ย!” ขณะที่พูด เขาก็กรีดร้องอย่างทุกข์ทรมาน “ทำให้ข้าน้อยปวดจะตายแล้ว!”
“ปวดท้อง? บังเอิญจริง!” ไหวเหรินเข้าวังตอนอายุแปดขวบ จึงเริ่มปรนนิบัติฮ่องเต้ตั้งแต่ที่ยังเป็นองค์ชายน้อย เห็นคนหลากหลายประเภท หูตาไวยิ่งนัก “หมอเซียนอย่างหมอหลวงเหยาบังเอิญมาเยือนที่นี่พอดี ให้นางจับชีพจรให้เจ้า จากนั้นจ่ายยาให้ก็คงจะหายดีแล้ว ตามข้ามา”
ขันทีน้อยแข้งขาอ่อนแรงทันที จึงพูดอย่างต่อเนื่อง “หมอหลวงเหยารักษาพระอาการให้ฝ่าบาท บ่าวเป็นเพียงคนชั้นต่ำ จะกล้าให้นางดูอาการให้ได้อย่างไร บ่าวกลับไปหายากินกับสำนักหมอหลวงก็พอแล้ว ขอบคุณกงกงที่เมตตา!”
“ทำไมกัน เรื่องดีเช่นนี้เจ้ากลับไม่รับไว้ เจ้าก็รู้ว่าหมอหลวงเหยามาจับชีพจรให้ฝ่าบาท วันนี้หมอหลวงเหยามีเกียรติอย่างยิ่ง นี่เจ้าโชคดีมากแค่ไหนแล้วที่ได้รับการรักษาจากหมอหลวงเหยา จะกลับไปกินยาอะไรกัน ประเดี๋ยวกินแล้วไม่หายแล้วจะทำอย่างไร ให้หมอหลวงเหยาฝังเข็มให้เจ้าเถอะ ไม่ต้องใช้เวลาหนึ่งเค่อด้วยซ้ำ” ไหวเหรินพูดไป ก็ส่งสายตาให้ขันทีคนหนึ่ง แล้วหันหลังเดินจากไป
ขันทีคนนั้นเดินหน้ามาจับคอเสื้อของขันทีน้อยแล้วพาเขาเข้าไปในตำหนักข้าง
เหยาเยี่ยนอวี่เพิ่งเข้าเดินเข้าตำหนักข้าง ยังไม่ทันได้ดื่มชาเลย ก็เห็นด้านหลังของขันทีผู้เฒ่ามีขันทีร่างกำยำกระชากคอเสื้อของขันทีน้อยเข้ามาด้วย ดังนั้นวางถ้วยชาแล้วถามกลับ “กงกงมีเรื่องอะไรหรือ”
“ใต้เท้าเหยา บ่าวอยากจะรบกวนอะไรท่านเสียหน่อย” ไหวเหรินคารวะให้เหยาเยี่ยนอวี่ หันไปมองขันทีน้อยที่เกือบจะท้องเสียอีกรอบ ก็ได้เอ่ยให้เห็นถึงเหตุผลที่มาเยือนอย่างชัดเจนแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดกับขันทีน้อยนั่น “เจ้าอ้างปาก แลบลิ้นออกมาให้ข้าดูที”
ขันทีน้อยไม่กล้าขัดขืน จึงอ้าปากแลบลิ้น
หลังจากเหยาเยี่ยนอวี่เห็น ก็พูดต่อ “ยื่นมือเจ้าออกมาด้วย”
ขันทีน้อยยื่นมือทั้งสองข้าง อย่างไรก็ต้องให้เหยาเยี่ยนอวี่ดูอยู่ดี
เหยาเยี่ยนอวี่พูดยิ้มๆ “อาการของเจ้าไม่ได้เป็นอะไรเลย แค่ตกใจเท่านั้น อีกอย่างเจ้าก็ไม่ได้ท้องร่วงด้วย ข้าว่าเจ้าตกใจจนฉี่ใกล้ราด”
ขันทีน้อยรู้สึกขาทั้งสองข้างอ่อนแรง แล้วพูดด้วยเสียงสั่น “ใต้เท้าได้โปรดอภัย” เขาคุกเข่าแล้วฉี่บนพื้นเลย
“เจ้านี่ สมควรตายจริงๆ !” ไหวเหรินนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ดังนั้นรีบสั่งคนมา “ลากตัวมันออกไป! ขังไว้ก่อน แล้วค่อยสอบสวนมันทีละนิด!” จากนั้นก็ตะโกนอีกครั้ง “ใครก็ได้! รีบตักน้ำมาเช็ดที่นี่ที!”
เหยาเยี่ยนอวี่อดยิ้มพลางลุกขึ้นไม่ได้ ขณะเดินไปด้านนอกก็ยิ้มไปด้วย “กงกงอย่ากังวลไปเลย เกรงว่าอีกสักพักฝ่าบาทถึงจะกลับมา เจ้าให้คนค่อยๆ เก็บกวาดเถอะ”
“ขอรับ เชิญใต้เท้าไปจิบชาที่ตำหนักข้างขอรับ” ไหวเหรินรู้สึกผิดอย่างมาก ตอนนี้นางคือผู้ที่ได้รับการโปรดปรานจากฮ่องเต้ที่สุด จึงไม่ควรมีเรื่องบาดหมางใจด้วยเด็ดขาด
“ไม่ต้องแล้ว ข้าเดินเล่นในสวนสักพักเถอะ”
“บ่าวจะให้คนส่งน้ำชามาให้ใต้เท้าเอง” ไหวเหรินตัดสินใจประจบประแจงใต้เท้าเหยาท่านนี้ไปแล้ว
เหยาเยี่ยนอวี่ทำได้เพียงรับน้ำใจไว้ แล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้มจางๆ “ขอบคุณกงกงแล้ว”
ตำหนักจื่อเฉินนั้นมีประตูเข้าออกสามชั้น กลางสวนมีภูเขาหินจำลองที่ได้รับการจัดแต่งอย่างงดงามยิ่ง เหยาเยี่ยนอวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้หินเย็นเฉียบไปสองชั่วยาม ดื่มชาไปสองแก้ว สุดท้ายก็รอจนกว่าฮ่องเต้เลิกราชสำนัก
ในสองชั่วยามนี้ ไหวเหรินแค่สั่งให้นางกำนัลคนหนึ่งดูแลรับใช้เฟิงฮองเฮา ดูจากสภาพแล้วน่าจะไปสืบสวนขันทีเล็กน้อยคนนั้นมา เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ได้สนใจเรื่องลับของวังหลวงเลย แม้แต่คิดยังไม่อยากคิด
ตอนที่ฮ่องเต้กลับมา ด้านหลังก็มีไหวเอินและขันทีอีกคนมาด้วย อีกทั้งยังมีอัครเสนาบดีเฟิง เฉิงอ๋อง และแม่ทัพเว่ย เหยาเยี่ยนอวี่รีบลุกขึ้นน้อมคำนับทันที
อากาศหนาวเช่นนี้ เหตุใดถึงนั่งในสวนล่ะ” ฮ่องเต้สวมชุดคลุมขนมิงค์ กำลังเดินเข้าไปในตำหนัก
“หม่อมฉันคิดบางอย่าง จึงต้องการสถานที่เงียบสงบ ไม่เช่นนั้นก็จะง่วงนอนอย่างเดียวเพคะ”