ท่องภพสยบหล้า - ตอนที่ 5

สิ้นเสียงประกาศเริ่มการประลองจากต่งเออ บนเวทีไม้ก็มีเสียงกระบี่ยาวสองเล่มสอดประสานดังกังวาน!
ก่อนการต่อสู้ท้าดวล ฟางเผิงจวี่บอกปัดสารพัด แต่เมื่อการต่อสู้เริ่มขึ้นจริง เขาก็ไม่ลังเลเลย ออกกระบี่ได้อย่างมั่นคง แม่นยำ ดุดันยิ่งนัก ไม่ออมมือเลยแม้แต่น้อย เขาเก่งกาจโดดเด่นในบรรดาศิษย์สายนอกของทั้งสำนักเต๋าเฟิงหลิน ได้รับความนับถือจากพวกเจียงวั่งในช่วงก่อนหน้านี้ ย่อมไม่ได้มีดีแต่ชื่ออย่างแน่นอน
แต่เจียงวั่งรวดเร็วกว่า แม่นยำกว่า เด็ดขาดยิ่งกว่า!
เพราะเขารอมาห้าสิบเจ็ดวันแล้ว เพราะในวันคืนห้าสิบเจ็ดวันนั้น เขาจินตนาการถึงภาพฉากนี้อยู่ทุกชั่วขณะ
ต่อให้บาดเจ็บสาหัส ต่อให้เจ็บป่วยยากจะทนไหว ต่อให้เกือบตายหลายต่อหลายครั้งก็ตาม
ยามถือดาบกระบี่เข้าโรมรันกับศัตรู อาจเจ็บหรือตายเขายอมรับได้ทั้งนั้น แต่ถูกคนที่เชื่อใจที่สุดหักหลัง ความเจ็บปวดทุกข์ทนที่ใจได้รับอยู่เหนือกว่าบาดแผลทางกายไปมาก
สิ่งที่ประคองให้เขาผ่านวันวานช่วงนั้นมาได้ นอกจากความปรารถนาอันไร้สิ้นสุดต่อชีวิต ยังมีความแค้นที่สลักลึกลงในกระดูกด้วย!
กระบี่หนึ่งทะลวงกระบวนกระบี่ของฟางเผิงจวี่
กระบี่ฟันออกไปคนตรงเข้าประชิด เขาใช้ท้องรับกระบี่ยาวของฟางเผิงจวี่ ยามที่เลือดสาดกระจาย เจียงวั่งกลับตวัดกระบี่ไปอย่างสุขุม จัดการตัดเอ็นข้อมือของฟางเผิงจวี่!
บาดแผลสองบาดแผลแทบจะเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน แต่เมื่อคนหนึ่งเป็นฝ่ายรุก คนหนึ่งเป็นฝ่ายรับ ก็รู้ผลสุดท้ายกันแล้ว
เจียงวั่งเข้าประชิดอีกครั้ง ทิ้งศอกพลางโถมทั้งตัวไปข้างหน้า กระแทกเข้าใส่หน้าอกของฟางเผิงจวี่เต็มแรง
ฟางเผิงจวี่เพิ่งจะเสียการควบคุมกระบี่ภายใต้ความเจ็บปวดรุนแรง พริบตาต่อมาก็ได้ยินเสียงกระดูกแตกหักของตัวเองดังขึ้นชัดเจน
ทั้งร่างถูกซัดจนตัวงอเป็นกุ้ง ถูกกระแทกกระเด็นออกไปนอกเวทีประลอง ทว่าก็โดนกิ่งไม้ที่สั่นไหวเหล่านั้นดีดกลับมาร่วงลงบนเวทีสูง
เพียงแค่เพลงกระบี่หนึ่งชุดเท่านั้น ฟางเผิงจวี่ก็พ่ายแพ้!
“เป็นไปได้อย่างไร ความแตกต่าง…ห่างชั้นกันถึงเพียงนี้เชียวรึ?!”
ด้านล่างเวทีฮือฮาไปทั่ว
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก ลูกกลอนเปิดชีพจรที่ผสมด้วยเลือดและน้ำตาของเจียงวั่งทำให้ฟางเผิงจวี่มีชีพจรเต๋าปรากฏครั้งแรก ท่าทางห้าวหาญทรงพลัง
กระบี่ที่แฝงด้วยความแค้นและความเจ็บปวดของเจียงวั่ง ก็ทำให้ฟางเผิงจวี่ตกต่ำแตกดับเช่นกัน
“เขาแพ้ให้กับตัวเอง แพ้ให้กับความหวาดกลัว” จ้าวหรู่เฉิงเอ่ยด้วยเสียงต่ำทุ้ม “หากไม่ใช่เพราะกลัวเกรง เขาไม่มีทางเลือกทำร้ายพี่สาม และใช้วิธีต่ำช้าแย่งชิงลูกกลอนเปิดชีพจรไป เขารู้ว่านอกจากวิธีนี้แล้วก็ไม่มีวิธีไหนที่จะแซงหน้าพี่สามได้เลย เมื่อใดที่ถูกทิ้งห่าง เขาไม่มีทางไล่ตามทันอีก”
หลิงเหอพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ว่า “ตอนแรกที่มาสำนักเต๋า เจ้าสามพลังอยู่รั้งท้าย สู้เผิงจวี่ไม่ได้เลย แต่ผ่านไปไม่กี่ปี วิชากระบี่ของเขาได้รับการยอมรับจากสำนักสายนอกว่าเป็นที่หนึ่ง เผิงจวี่ก็นิสัยหยิ่งยโสมาตลอด…”
ตู้เหยี่ยหู่เอ่ยอย่างเดือดดาล “พูดไปพูดมา ไม่ใช่เพราะไร้ความสามารถและไร้ยางอายรึ!?”
แกร๊ง~เคร้ง!
เจียงวั่งดึงกระบี่ยาวที่แทงทะลุท้องน้อยออกอย่างช้าเนิบ แล้วจึงโยนไปข้างๆ
กระบี่ยาวที่เปรอะไปด้วยเลือดร่วงลงพื้นดังเคร้ง ฟางเผิงจวี่ที่ปากยังกระอักเลือดไร้ซึ่งที่พึ่งพิง ทั้งยังตื่นตระหนก
ขณะที่ปลายกระบี่ยาวชี้ลู่ลงข้างกาย เจียงวั่งเดินไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
“ช่วยด้วย! เจ้าสำนักช่วยข้าด้วย! ข้าเป็นลูกหลานตระกูลฟาง ตระกูลฟางเป็นสามตระกูลใหญ่ของเมือง!”
ฟางเผิงจวี่ตะโกนอย่างตื่นกลัว ยังเหลือมาดคุณชายผู้สูงศักดิ์ร่ำรวยสักครึ่งส่วนเสียที่ไหน
ต่งเออมีสีหน้าไร้อารมณ์ “ในเมื่อเป็นศึกตัดสินมรรคาเป็นพยาน ย่อมไม่ตายไม่ยอมเลิกรา ผู้ที่จะตัดสินความเป็นความตายของเจ้า มีเพียงคู่ต่อสู้ของเจ้าเท่านั้น”
“พี่สาม พี่สาม!” ฟางเผิงจวี่เอามือยันพื้นพลางถอยหลังไปไม่หยุด “ท่านไว้ชีวิตข้าด้วย ไว้ชีวิตข้าด้วย! ไว้ชีวิตข้าสักครั้งด้วยเถอะ!
ตระกูลฟางเป็นตระกูลเก่าแก่! แต่ไม่มีผู้ฝึกตนที่เบิกฟ้าเปิดปฐพีได้มายี่สิบปีแล้ว! ก้าวแรกช้า ก้าวต่อๆ ไปก็จะช้า ข้ามีเวลาอีกเท่าไรให้รอกัน ข้าหยุดไม่ได้ ข้าแบกความหวังของบิดาที่ตายจากเอาไว้ ข้าจะหยุดไม่ได้!”
เขามองเจียงวั่งด้วยน้ำตานองหน้า “ลูกกลอนเปิดชีพจรของท่าน หากข้าขอท่าน ท่านจะยกให้ข้าหรือไม่”
เจียงวั่งไม่พูดอะไร
“ท่านลุงของข้าไปยังรัฐอวิ๋น แต่หาซื้อลูกกลอนเปิดชีพจรไม่ได้เลย ต่อให้ซื้อได้ก็ใช่ว่าจะยกให้ข้า การจัดการควบคุมลูกกลอนเปิดชีพจรเข้มงวดขึ้นเรื่อยๆ จะให้เป็นรางวัลแก่ศิษย์สายนอกที่เป็นความหวังที่สุดเท่านั้น ทั่วทั้งสำนักเต๋าเฟิงหลินมีเพียงท่านที่ได้รับความดีความชอบเช่นนั้น ข้าจนปัญญา ข้าจนปัญญาแล้ว!” ฟางเผิงจวี่ร้องไห้คร่ำครวญ
เจียงวั่งหรี่ตา “ที่จริงแล้วข้าเข้าใจเจ้า เข้าใจความร้อนรน ความกังวล และความหวาดกลัวของเจ้า ตระกูลฟางเป็นตระกูลใหญ่ มีสภาพแวดล้อมอันยอดเยี่ยมให้เจ้า แต่ว่าการแข่งขันก็ดุเดือดเช่นกัน ข้ารู้ซึ้งนานแล้วว่าความปรารถนาของมนุษย์ไม่มีสิ้นสุด และก็รู้ว่าเจ้าอยากจะพิสูจน์ตัวเองเพียงใด อยากจะคว้าเกียรติยศมาให้บิดาที่จากไปก่อนวัยอันควรของเจ้าแค่ไหน เจ้าเคยพูดทุกอย่าง ข้าก็จำได้ทุกอย่าง เจ้ารีบร้อนอยากสำเร็จจึงหลงผิดไป อันที่จริงข้าเข้าใจได้”
ท่ามกลางสายตาที่พลันฉายประกายแห่งความหวังของฟางเผิงจวี่ เขาพูดต่อว่า “แต่เข้าใจไม่ได้หมายถึงให้อภัย”
พูดประโยคนี้จบ เจียงวั่งก็มาถึงตรงหน้าฟางเผิงจวี่พอดี
กระบี่ยาววาดเป็นโค้งคมชัดทางหนึ่งกลางอากาศ แทงทะลุหน้าอกของอีกฝ่ายอย่างแม่นยำและไม่ลังเลแม้แต่นิด
“บุญคุณต้องทดแทน แค้นต้องชำระไม่ใช่หรือ
ดังนั้น ข้าเคยตายไปแล้วครั้งหนึ่ง เจ้าก็ต้องเอาชีวิตมาใช้คืนเช่นกัน”
เจียงวั่งเอ่ยอย่างช้าเนิบ
ฟางเผิงจวี่ใช้มือข้างที่ยังสมบูรณ์จับตัวกระบี่ไว้ ปล่อยให้คมกระบี่เฉือนฝ่ามือของเขา ให้กระบี่นี้หยุดอยู่ในร่าง ให้ความตายมาช้าขึ้นอีกหน่อย
เขาส่งเสียงแค่กๆ ออกมาอย่างยากลำบาก
“แย่งเอา…โอสถของท่านมาแล้ว ทุกคืนข้าข่มตาหลับไม่ลง ข้าเสียใจนัก…ข้าขอโทษ แต่ แต่ท่านก็สุขสบายดีไม่ใช่หรือ พวกเราพี่น้อง ทำไม…ทำไมยกโทษให้ข้าสักครั้งหนึ่ง…ไม่ได้”
ข้างล่างเวทีสูง หลายๆ คนมีอารมณ์ซับซ้อน ทนดูและฟังต่อไปไม่ได้
แต่เจียงวั่งทำแค่มองเขาอย่างสงบนิ่งเท่านั้น
“เจ้ารู้รสชาติของการถูกหักหลังไหม เจ้ารู้ความเจ็บปวดและความโกรธแค้นที่แผดเผาในใจแบบนั้นหรือไม่ เจ้าทำให้ความเชื่อใจของข้าดูโง่งม เจ้าทำให้สิ่งที่ข้าประสบพบเจอเป็นเหมือนเรื่องตลก เจ้าทำให้ความเจ็บปวดของข้าไร้ความหมาย”
ความทรงจำดั่งสายน้ำไหล แต่กลับไร้ซึ่งความอบอุ่น ยากจะเกิดคลื่นอารมณ์ขึ้นมา
“เจ้าเคยต้องนอนอยู่บนกองฟาง อ่อนแอไร้กำลัง ทำได้แค่รอความตายมาเยือนตาปริบๆ หรือไม่
ข้าเหมือนเห็นเงาสองเงาวูบไหวอยู่ตรงหน้าข้า ข้ารู้ว่านั่นคือยมทูตขาวดำ ข้าราวกับได้ยินเสียงลมหายใจช้าเนิบของพวกเขาดังข้างหูข้า ข้าเคยสาบานว่าจะเอาชนะชะตาชีวิตให้ได้! ข้ารู้ว่าตัวเองใกล้จะตายแล้ว แต่ข้าไม่มีวิธีใดเลย
หากเจ้าผ่านทุกอย่างที่ข้าได้ประสบมา ก็จะเข้าใจว่าความเจ็บปวดบางอย่างไม่อาจชดเชยได้ ข้าคือคนที่ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง หากข้าให้อภัยเจ้า ก็ไม่มีคุณสมบัติที่จะเผชิญหน้ากับตัวเอง”
เจียงวั่งพูดถึงตรงนี้ ก็ดึงกระบี่ออกมาช้าๆ ทั้งยังแน่วแน่
เวทีสูงค่อยๆ ลดระดับต่ำลงมา กิ่งไม้หดลง สุดท้ายสนามประลองที่มีวิชาเต๋าแผ่ไปทั่ว ก็เปลี่ยนกลับมาเป็นต้นกล้าต้นเล็กๆ มุดลงไปใต้ติน
ส่วนฟางเผิงจวี่นอนนิ่งอยู่บนพื้น มือขวาห้อยตกลง มือซ้ายยังคงทำท่ากุมไว้ที่หน้าอก เสมือนคว้ากระบี่ยาวที่พรากชีวิตเขาไปเอาไว้มั่น ดวงตาของเขาเบิกกว้าง ยังคงหลงเหลือความเจ็บปวด ความไม่ยอมจำนน รวมทั้งอารมณ์ต่างๆ นานา
ทว่าเขาตายไปแล้ว
ติดตามต่อได้ที่ meenovel.com
หลิงเหอถอนหายใจเบาๆ เดินเข้าไปถอดเสื้อคลุมตัวนอกมาคลุมใบหน้าของฟางเผิงจวี่
ตู้เหยี่ยหู่อ้าปากพะงาบๆ เหมือนคิดจะก่นด่าอะไร แต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก เพราะคนตายไปแล้ว
จ้าวหรู่เฉิงนิ่งไม่ขยับ เงียบงันไม่พูดจา
เจียงวั่งยืนเงียบๆ อยู่กับที่ ดวงตาไม่มองใครก็ตามตรงนั้น แต่มองไปยังท้องฟ้าที่กว้างไกลไร้ขอบเขต ประหนึ่งมองตัวเองที่อยู่อีกฟากฟ้าหนึ่ง
‘หลับให้สบายเถอะ’ เขาพูดเช่นนี้ในใจ
ในหัวสมองปลอดโปร่ง ไส้เดือนดินตรงสันหลังตัวนั้นพลันปราดเปรียว กระโดดจากก้นกบขึ้นมา ว่ายข้ามผ่านเส้นทางระยะหนึ่งได้อย่างราบรื่น จากนั้นคายรากพลังเต๋าที่ชุ่มชื้น อิ่มเอิบ และสวยงามออกมา
ในใจของเจียงวั่งพลันนึกถึงประโยคหนึ่งขึ้นได้…มองเรื่องในชีวิตให้กระจ่างคือการเรียนรู้ ความคิดปลอดโปร่งคือต้นทุนส่งเสริม
………………………………………………………
