ลำนำยอดหญิงจอมพิษ - ตอนที่ 107

ลำนำยอดหญิงจอมพิษ บทที่ 107 เขตเมืองสองแห่ง
อวี้ฉือจ้านแสร้งทำท่าทางสุขุมที่โกรธมาก กล่าวว่า: “ฮ่องเต้ฉีทำเรื่องที่เป็นอันตรายต่อแคว้นต้าเยียนข้าแล้ว ข้ายังต้องอดทนอีกหรือ?”
จวินฉีเซิ่งกัดฟัน ฉวยโอกาสจากช่องโหว่ กล่าวว่า: “ข้าก็แค่อยากรู้อยากเห็นความสามารถที่แท้จริงของเซ่อเจิ้งหวางว่าเป็นเช่นไรไปชั่วขณะเท่านั้น ไม่ได้มีเจตนาร้ายแอบแฝง ยังหวังว่าเซ่อเจิ้งหวางอย่าได้ถือสา การทำศึกสงครามเป็นเรื่องที่สิ้นเปลืองทรัพยากรและกำลังคนจริงๆ สุดท้ายผู้ที่ได้รับความทุกข์ยากก็ยังคงเป็นชาวบ้านของสองแคว้น ข้ายินดีใช้ทองคำหนึ่งล้านตำลึงเป็นค่าชดเชย หวังว่าเซ่อเจิ้งหวางจะรับเอาไว้”
อวี้ฉือจ้านไม่หวั่นไหว กล่าวต่อไปอีกว่า: “ข้ากลับรู้สึกว่าทองคำเพียงหนึ่งล้านตำลึงแค่นี้ยากที่จะบรรเทาความโกรธในใจได้ ฮ่องเต้ฉีขึ้นครองราชย์ก็แค่สามปีเท่านั้น ก็จ้องมองต้าเหยียนข้าราวกับเสือที่พร้อมจะตะครุบแล้ว แถมยังมีเจตนาโยนความผิดให้กับซีจิ้งอีก ครั้งนี้ฮ่องเต้ฉีเป็นคนริเริ่มให้เกิดหายนะด้วยตัวเอง โทษคนอื่นไม่ได้ ถ้าหากราษฎรของแคว้นฉีรู้เข้า ก็ได้แต่โทษที่ตัวเองไม่มีพระราชาที่ดีเท่านั้นแล้ว”
สิ่งที่จวินฉีเซิ่งกลัวที่สุดก็คือเรื่องนี้ อวี้ฉือจ้านจงใจชี้ให้เห็นความรุนแรงของเรื่องนี้ออกมาต่อหน้าจวินฉีเซิ่ง แทงมีดเข้าไปในหัวใจของจวินฉีเซิ่งโดยตรง การเสียเปรียบที่พูดออกมาไม่ได้ในครั้งนี้ จวินฉีเซิ่งเลี่ยงไม่ได้อย่างแน่นอน
“เพราะข้าเลอะเลือนไปชั่วขณะ! เซ่อเจิ้งหวางโปรดอย่าเก็บไปใส่ใจเลย! ข้ายินดีจะยกเขตเมืองสองเมืองที่อยู่ติดกับพรมแดนแคว้นฉีกับต้าเยียน เป็นการชดเชยให้กับเซ่อเจิ้งหวาง!”
อวี้ฉือกงพอใจอย่างยิ่งแล้ว กล่าวว่า: “ในเมื่อฮ่องเต้ฉีใจกว้างเช่นนี้ เสด็จอาก็อย่าได้โกรธเคืองต่อไปอีกเลย เพียงแต่ว่าเมืองสองเมืองนี้ฮ่องเต้ฉีจะมอบให้ในนามของอะไรล่ะ?”
ใช่แล้ว อย่างไรก็ไม่สามารถป่าวประกาศต่อใต้หล้า ว่าเขาลอบสังหารอวี้ฉือจ้านไม่สำเร็จ ไม่เพียงเท่านั้นยังถูกจับได้อีก ดังนั้นเพราะความเห็นแก่ตัวส่วนตัวจึงต้องยกที่ดินมอบให้กับต้าเยียนเป็นการขอโทษ ไม่ต้องพูดถึงว่าการทำเช่นนี้จะทำลายชื่อเสียงของเขา ยิ่งทำให้คนรู้สึกว่าเขาสูญเสียสติปัญญาและศักดิ์ศรีไป
“ไม่เป็นไร นี่ถือเป็นสินสอดทองหมั้นในการแต่งงานให้กับองค์หญิงเหอชิน ทองคำหนึ่งล้านตำลึงนั่นข้าก็ถือว่าเป็นสินสอดทองหมั้นมอบให้กับเซ่อเจิ้งหวาง หากมิเช่นนั้น ข้าก็จะกลายเป็นคนบาปที่ถูปสาปแช่งไปชั่วลูกชั่วหลานจริงๆ”
ตอนที่กล่าวคำพูดเหล่านี้ออกมา ในใจของจวินฉีเซิ่งรู้สึกเจ็บจนมีเลือดหยด แต่เมื่อนึกถึงผลลัพธ์ที่ไม่ทำเช่นนี้ เขาก็ยอมประนีประนอม
อวี้ฉือจ้านกับอวี้ฉือกงมองหน้ากันครู่หนึ่ง การโกหกหลอกลวงจวินฉีเซิ่งในครั้งนี้ เรียกได้ว่าเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่จริงๆ
อวี้ฉือกงกล่าวขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม: “การทำเช่นนี้ย่อมดีที่สุด ถึงแม้เสด็จอาของข้าคนนี้จะเป็นคนเจ้าอารมณ์ แต่ก็เข้าใจหลักเหตุผลการปกครองประเทศนำความสงบสุขสู่มวลประชา จะไม่ก่อสงครามขึ้นมาโดยไร้เหตุผลอีก เพียงแต่ว่าหน่วยกล้าตายภายใต้อาณัติของฮ่องเต้ฉีนายนั้นคุณสมบัติไม่เพียงพอจริงๆ ข้าจะรับผิดชอบเป็นผู้ตัดสินใจ ประหารชีวิตหน่วยกล้าตายนายนั้นอย่างลับๆ เพื่อที่ฮ่องเต้ฉีจะได้ไม่เกิดหายนะขึ้นมาในภายหลัง”
จวินฉีเซิ่งกล่าวว่า: “พูดแล้วก็รู้สึกละอายใจ ข้าก็ยังต้องขอบคุณความมีเมตตาและโอบอ้อมอารีของเซ่อเจิ้งหวางกับฮ่องเต้เยียนอีกด้วย”
อวี้ฉือกงกับจวินฉีเซิ่งพูดคุยอย่างสุภาพต่อกันและกันสักพักหนึ่ง ถึงได้ส่งจวินฉีเซิ่งกลับไป ทำเหมือนกับทุกอย่างนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ภายในท้องพระโรง ฝู้จื่อโม่ถอนหายใจเบาๆ กล่าวว่า: “ยังดีที่ข้างกายของจวินฉีเซิ่งมีซวงซวงอยู่ มิเช่นนั้นใครจะไปรู้ได้ว่าหลานตัวเหี้ยนี่จะซ่อนเก่งขนาดนี้ได้ โชคดีที่ในจำนวนศพที่เหลือเพียงสิบเอ็ดศพนี่ยังมีคนหนึ่งที่แขนยังไม่เน่าเปื่อยไปจนหมด ไม่อย่างนั้นเมิ่งจิ่วคงจะเก็บข้าวของหนีไปนานแล้ว”
หยินซวงซวงก็แค่ให้ข้อมูลชื่อกับอายุของหนึ่งในหน่วยกล้าตายใต้น้ำเท่านั้น ตอนที่จวินฉีเซิ่งออกคำสั่งให้ลอบสังหาร นางบังเอิญอยู่ข้างกายพอดี ดังนั้นจึงได้ยินคำสั่งมาอย่างชัดเจน ส่วนหนังที่อยู่บนแขน ก็แค่หลังจากที่ได้ข่าวมาจากหยินซวงซวงแล้ว ตัดหนังที่ไม่บุบสลายบนแขนของศพสิบเอ็ดศพที่เหลืออยู่ลงมา เพียงแต่ว่าจวินฉีเซิ่งเป็นวัวสันหลังหวะเอง ภายใต้ความตื่นตระหนกตกใจถูกพวกเขาร่วมมือกันหลอกก็เท่านั้น
อวี้ฉือกงก็ตบขาหัวเราะเช่นกัน มองดูท่าทางกัดฟันเมื่อครู่นี้ของจวินฉีเซิ้ง ในใจเสียดายทองคำหนึ่งล้านตำลึงกับเขตเมืองสองแห่งนั่นแท้ๆ แต่กลับแสร้งทำท่าทางสำนึกผิดอย่างจริงใจ ทุกครั้งที่นึกถึงตรงนี้ อวี้ฉือกงก็จะรู้สึกว่าเสด็จอาของตัวเองช่างหล่อเหลามากจริงๆเลย
อวี้ฉือจ้านโบกมือให้คนยกศพสิบเอ็ดศพลงไป สั่งการกับจีเฟิงว่า: “เก็บพวกนี้ไว้ที่โรงเก็บน้ำแข็งของเมิ่งจิ่ว”
“ข้าน้อยรับคำสั่ง”
อวี้ฉือกงกล่าวว่า: “เสด็จอาคิดจะเก็บศพพวกนี้เอาไว้จริงๆหรือ?”
“พิษกู่พวกนี้เมิ่งจิ่วค่อนข้างสนใจอยู่มาก ให้เขาเล่นไปเถอะ บางทีอาจจะสามารถศึกษาค้นคว้าสิ่งที่น่าสนใจอะไรออกมาก็ได้”
ความคิดของอวี้ฉือจ้านในเวลานี้ลึกล้ำ ไม่รู้ว่าทำไม ครั้งนี้สามารถกดขี่จวินฉีเซิ่งเอาไว้ได้อย่างสิ้นเชิง เขากลับอยากจะบอกกู้ชิวเหลิ่งในนาทีแรก
เขารู้สึกว่าหากกู้ชิวเหลิ่งรู้เข้า น่าจะดีใจมาก
ในสวนเฉินเซียง กู้ชิวเหลิ่งนอนเท้าเปลือยเปล่าอยู่บนเตียงอ่อนนุ่ม เพิ่งจะผล็อยหลับไป จู่ๆไหล่ซ้ายก็ปวดขึ้นมากะทันหัน ตอนที่ลืมตาขึ้นมา ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว
จูเอ๋อร์ได้เตรียมชุดผ้าสีขาวล้วนเอาไว้ชุดหนึ่ง กับดอกไม้ผ้าสีขาวดอกหนึ่ง กล่าวว่า: “คุณหนู เมื่อครู่นี้ฮูหยินใหญ่ตื่นขึ้นมาแล้ว สั่งการให้เตรียมโลงศพให้กับคุณหนูใหญ่แล้ว เราเองก็ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเช่นกัน”
กู้ชิวเหลิ่งลุกขึ้นมานั่งอย่างเกียจคร้าน ถอดเสื้อผ้าที่อยู่ด้านนอกออก กล่าวว่า: “เปลี่ยนเถอะ”
“เจ้าค่ะ”
กู้ชิวเหลิ่งมองดูท้องฟ้าที่อยู่ด้านนอก ทางด้านวังหลวงก็น่าจะประสบความสำเร็จแล้วกระมัง
การตายของกู้ชิวเซียง กู้หนานเฉิงกล่าวอ้างต่อภายนอกว่าถูกสัตว์ป่าทำร้ายในพื้นที่ล่าสัตว์ของราชวงศ์ แต่ว่ามีเพียงคนของจวนกู้โหวเท่านั้นที่รู้ว่า กู้ชิวเซียงถูกทุบตีจนตายทั้งเป็นหลังจากที่ถูกกระทำชำเราแล้ว
และข่าวนี้ ในตอนที่จวนกู้โหวกำลังเตรียมงานศพอยู่ ไม่รู้ว่าถูกใครเผยแพร่ออกไปอย่างประสงค์ร้าย และการใช้ภาษาก็หยาบคายอย่างยิ่ง บอกว่ากู้ชิวเซียงอาศัยความงามของตัวเอง มีความสัมพันธ์กับพวกคุณชายลูกหลานขุนนางชนชั้นสูงที่ใช้ชีวิตอย่างมั่วสุมโสมมพวกนั้นมานานแล้ว ในตอนที่อยู่ในพื้นที่ล่าสัตว์ กู้ชิวเซียงเตรียมจะถอดเสื้อผ้ายั่วยวนท่านอ๋อง ท่านอ๋องกลับควบม้าจากไป และเมื่อกู้ชิวเซียงตกอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย ก็พบกับพวกคุณชายลูกหลานขุนนางชนชั้นสูงพวกนั้นเข้า เพื่อแสวงหาความตื่นเต้น แต่กลับไม่ระวังถูกเล่นจนตาย เพื่อรักษาหน้าตา ดังนั้นจวนกู้โหวจึงไม่พูดออกมา เพียงแต่บอกว่าถูกสัตว์ป่ากัดตายเท่านั้น
หลังจากที่ได้ยินข่าวนี้แล้ว ฮูหยินใหญ่ก็หมดสติไป กู้ชิวเหลิ่งกลับรู้สึกว่ามันน่าสนใจอย่างมาก กู้ชิวเซียงเป็นคนจองหอง ไม่เคยเห็นคุณชายลูกหลานขุนนางชนชั้นสูงพวกนั้นอยู่ในสายตาเลย ในใจมีเพียงอวี่เหวินเจี๋ยคนเดียวเท่านั้น ไม่มีทางทำเรื่องบัดสีกับผู้ชายคนอื่นอย่างเด็ดขาด แต่ว่าคนที่อยู่เบื้องหลังการปล่อยข่าวลือที่มุ่งร้ายพวกนี้ เปิดเผยความเกลียดชังที่มีต่อกู้ชิวเซียงออกมาอย่างชัดเจนมาก ซึ่งมันดูเหมือนเป็นการกระทำของผู้หญิง
“มันเป็นใครกันแน่! ลูกสาวของข้าตายไปแล้ว! ใครมันเป็นคนสร้างข่าวลือเช่นนี้ออกมา!”
ฮูหยินใหญ่ร้องไห้ทั้งวันทั้งคืน เดิมทีวางแผนไว้ว่าจะยกโลงศพวันนี้ แต่เพราะคำวิพากษ์วิจารณ์ของบุคคลภายนอก ดังนั้นกู้หนานเฉิงจึงตัดสินใจระงับเอาไว้ก่อน รออีกสักพักค่อยยกโลงศพเพื่อการจัดการอย่างเหมาะสม
กู้ชิวเหลิ่งกลับเข้าไปถึงลานของตัวเอง เอาดอกไม้ผ้าสีขาวที่อยู่บนศีรษะลงมา กล่าวสั่งการว่า: “ปลดนกพิราบขาวลงมา”
“บ่าวจะไปเดี๋ยวนี้”
กู้ชิวเหลิ่งเขียนข้อความลงไปในกระดาษ: การตายของกู้ชิวเซียงข้อสงสัยยังไม่คลี่คลายเหลิ่ง
จูเอ๋อร์มองดูกู้ชิวเหลิ่งยัดกระดาษข้อความเข้าไปในหลอดจดหมายของนกพิราบขาว กล่าวถามด้วยความสงสัย: “คุณหนูต้องการจะสืบว่าใครเป็นคนฆ่าคุณหนูใหญ่หรือ?”
“ในข่าวลือนั่นเห็นได้ชัดมีความเชื่อมโยงกับท่านอ๋องท่านหนึ่ง คนอื่นย่อมไม่คู่ควรให้กู้ชิวเซียงทำเช่นนี้อยู่แล้ว ความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียวก็คืออวี่เหวินเจี๋ย แต่ว่าคนที่ปล่อยข่าวลือกลับไม่ได้ระบุออกมาอย่างชัดเจนว่าเป็นท่านอ๋องท่านไหน เป็นได้เพียงคนต่างชาติเท่านั้นแล้ว”
