สวินหยาง ยอดหญิงไร้พ่าย ภาค 2 - ตอนที่ 2-1

“ฮ่องเต้เสด็จ…”
“องค์รัชทายาทเสด็จ…”
เสียงขานสองเสียงดังขึ้นต่อเนื่องทลายบรรยากาศเคร่งขรึมตรงหน้าจนมลายสิ้น
ทุกคนตะลึงงันไม่ไหวติงไปชั่วระยะหนึ่ง
เวลานี้ฮ่องเต้บังเอิญเสด็จออกจากวังกะทันหันได้อย่างไร?
ปีนี้นอกจากฮ่องเต้อายุมากแล้ว บางครั้งในฤดูร้อนก็จะไปหลบร้อนที่ตำหนักนอกเมือง และทุกครั้งที่ถึงเทศกาลเซ่นไหว้บรรพบุรุษ ฮ่องเต้ก็จะไปเซ่นไหว้ที่หอบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงออกจากวังน้อยมากแล้ว
จะว่าไปตอนนี้อากาศหนาวจนพื้นกลายเป็นน้ำแข็ง ซ้ำยังดึกดื่นเช่นนี้ เหตุใดฮ่องเต้จึงเสด็จออกจากวังอย่างกะทันหัน?
อีกทั้ง…
บังเอิญขนาดมุ่งหน้ามาที่นี่ด้วย?
ฉู่สวินหยางขมวดหัวคิ้วที่มีเสน่ห์ของนางเล็กน้อยและมองไปยังฉู่ฉีฮุยว่า “ท่านเป็นคนวางแผนรึ?”
ครั้งนี้ฉู่ฉีฮุยเตรียมการพร้อมเสร็จสรรพหมายจะเอาชีวิตนางให้ได้จริงๆ!
จงใจขัดขวางให้นางติดกับดักอยู่ที่นี่แล้วหาโอกาสให้คนไปเชิญฮ่องเต้มา
คนหนึ่งก็ทำนาบนหลังคน อีกคนก็ต้องการจะจับขโมยให้ได้คาหนังคาเขา
เดิมทีฉู่ฉีฮุยหวาดกลัวปลายทวนที่อยู่ในมือนาง ครั้งนี้เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ สายตาเยาะเย้ยก้มมองทวนของฉู่สวินหยางที่ค้ำอยู่ตรงซอกคอว่า “ข้าเตือนเจ้าตั้งแต่แรกแล้วว่าให้ยอมจำนนแล้วตามข้าไปแต่โดยดี เจ้าก็ไม่ฟัง ตอนนี้…เจ้าจะเสียใจภายหลังก็สายไปเสียแล้ว!”
รถม้าของฮ่องเต้มาเร็วมาก องครักษ์สามพันนาย บวกกับขันทีและนางในที่ตามเสด็จมา แค่เสียงฝีเท้าเหยียบย่ำพื้นที่ดังสะเทือนเลือนลั่นก็สลายฝันของทุกคนยามค่ำคืนทันที
อาจเพราะอกสั่นขวัญเสียกับสถานการณ์ในครั้งนี้ ทันใดนั้นก็แว่วเสียงร้องไห้ผู้หญิงดังมาจากในรถม้าที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย แต่ดูเหมือนจะถูกคนปิดปากไว้ทันควัน เสียงนั้นจึงเงียบไปเร็วมาก
ฉู่ฉีฮุยตกใจ แสงไฟในดวงตายิ่งลุกโชนจนปิดไม่มิด เขาเอ่ยเสียงเฉียบขาดว่า “ลากตัวคนที่อยู่ในรถม้าออกมาเดี๋ยวนี้”!
ฉู่สวินหยางโมโหจึงดันทวนในมือไปข้างหน้า
ทวนคมกริบกรีดซอกคอฉู่ฉีฮุยเป็นแผลทันที
“องค์รัชทายาท!” ฉู่ฉีฮุยหน้าซีดเผือด องค์รักษ์ที่อยู่ข้างเขากลับทำอะไรไม่ถูก คมทวนที่สว่างราวกับหิมะนับไม่ถ้วนเล็งมาทางนี้ แต่กลับเกรงว่าฉู่สวินหยางจะบันดาลโทสะจนทำร้ายฉู่ฉีฮุย จึงไม่กล้าผลีผลาม
ฉู่ฉีฮุยมองฉู่สวินหยางอย่างเย็นชา แต่กลับไม่มีความหวาดหวั่นอย่างก่อนหน้านี้แล้ว จึงแสร้งพูดว่า “สวินหยางเรื่องมาถึงขั้นนี้แล้ว ข้าขอเตือนให้เจ้าเหลือทางหนีทีไล่ไว้ให้ตนเองดีกว่า!”
“ข้าจะแก้ปัญหาอย่างไร ก็ไม่จำเป็นต้องให้ท่านมาสอนข้า!” ฉู่สวินหยางเหมือนถูกเขากระตุ้นนิสัยดื้อรั้นขึ้นมา ปฏิเสธความความหวังดีด้วยใบหน้าเฉยเมย สายตาแหลมคมมองรอบด้านพลางกล่าว “พวกเจ้าทุกคนหลีกทางให้ข้าเดี๋ยวนี้ ไม่เช่นนั้น…ข้าจะไม่เกรงใจเจ้านายของพวกเจ้า!”
สายตานางโหดเหี้ยมแฝงความรู้สึกขู่เตือนอย่างไม่ปิดบัง ในสายตาคนอื่นคิดว่านางยอมทุ่มสุดตัวแล้ว
ระหว่างที่พูดนางก็มองไปทางรถม้าที่จอดอยู่หน้าประตูเมืองสั่งว่า “รีบไปเอารถม้ามาเดี๋ยวนี้!”
จากนั้นสอดส่ายสายตาไปรอบๆ เป็นการเตือนเหล่าองครักษ์ที่ล้อมเตรียมบุกโจมตีอีกครั้ง
ท่านหญิงสวินหยางคนนี้สติฟั่นเฟือนไปแล้วหรืออย่างไร?”
พริบตาเดียวฮ่องเต้ก็มาถึง นึกไม่ถึงว่านางยังคงดิ้นรนอย่างสุดชีวิต
คนอื่นยังไม่กล้าลงมือกับนาง ละล้าละลังอยู่นานก็ยังไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี ลังเลไม่บุกเข้าไป
ก่อนหน้านั้นคนขับรถม้าก็ถูกฉางหลินลากลงมาแล้วเหวี่ยงตัวออกไปไกลแล้ว ตอนนั้นเห็นว่าผ้าม่านบนรถถูกเปิดออกมุมหนึ่ง ชิงเถิงออกมาจากข้างในและหยิบแส้ที่ตกอยู่ข้างๆ จะฝ่าเข้าไป
“มาถึงขั้นนี้แล้วเจ้ายังโง่ดักดานอีกเหรอ?” นัยน์ตาของฉู่ฉีฮุยฉายแววบ้าคลั่งและเอ่ยเสียงดังว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ฟังคำเตือนของข้า เช่นนั้นก็อย่าโทษว่าข้าทำร้ายญาติของตนเองเพื่อรักษาความถูกต้องแล้วกัน!”
เขาจงใจจะเปล่งเสียงดังแสร้งขึงขังแสดงถึงทัศนคติและความยุติธรรม แต่ไม่รู้ว่าจะดังไปถึงรถม้าประจำตำแหน่งของฮ่องเต้หรือไม่
“หึ” ฉู่สวินหยางเปล่งเสียงดูหมิ่นไม่แม้แต่จะแยแส ตะเบ็งเสียงข่ม “ชิงเถิง เจ้าส่งรถม้ามาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ใครกล้าขวาง ฆ่าไม่ละเว้น!”
“เจ้าค่ะ ท่านหญิง!” ชิงเถิงคุกเข่าลงตอบ
ขณะนั้นฉู่ฉีฮุยกลับแอบดีใจ…
โชคดีที่ท่านพ่อรักนางมากตามใจเสียจนนางกลายเป็นคนไม่รู้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ ใช่ว่าเขาไม่ว่ากล่าวตักเตือนหรือไม่สนใจญาติของตนเอง แต่เป็นเพราะนางแกว่งเท้าหาเสี้ยน ใครก็ช่วยไม่ได้ทั้งนั้น
ยิ้มเยาะในใจ ทันใดนั้นสายตาฉู่ฉีฮุยก็ดูเลือดเย็นขึ้นมาพลางยกมือโบกพูดเสียงดัง “ฉู่สวินหยางขัดราชโองการมีความผิดใหญ่หลวง มือธนูขัดขวางนางไว้อย่าให้นางหนีไป ไม่ว่าจะเป็นตายจับตัวนางไว้ให้ได้!”
คนที่อยู่ในรถฟังแล้วนิ่งเงียบ ทันใดนั้นก็มีเสียงโอดครวญออกมา “อย่านะ…”
ทุกคนต่างเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้าอย่างชัดเจน…
ท่านหญิงสวินหยางขาดสติและพาลโกรธแล้วจริงๆ
อีกอย่างยังมีหวงจ่างซุนนั่งกำกับดูแลอยู่ ขอเพียงแค่ได้ตัวนักโทษกระทำผิดร้ายแรงที่อยู่ในรถม้าไป เช่นนั้นฮ่องเต้ต้องประทานรางวัลให้แน่ พวกเขาแต่ละคนต่างมีส่วนได้รับส่วนแบ่ง แต่ความผิดของฉู่สวินหยางนั้น…
นี่เป็นคำสั่งของหวงจ่างซุน ต่อให้องค์รัชทายาทต้องการสืบสวน ก็ไม่มีทางสืบสาวไปถึงพวกเขาแน่นอน
ด้วยผลประโยชน์เหล่านี้ ทุกคนต่างเลือดเดือดพล่าน จึงให้มือธนูคอยจับตามองง้างธนูรอเตรียมพร้อม ส่วนคนอื่นก็ถอยร่นไปอย่างรวดเร็ว หลีกทางให้มือธนูเล็งเป้าหมายได้เห็นชัดเจนมากยิ่งขึ้น
“พี่ใหญ่ ท่านเสียสติแล้วรึ?” ฉู่สวินหยางอุทานน้ำเสียงฉุน
แล้วนางก็เงียบไป ฉู่ฉีฮุยยิ้มมุมปาก สีหน้าดุร้าย โบกมือขึ้นอย่างเยือกเย็นเป็นสัญลักษณ์สั่งการ
“ยิง!”
อธิบายได้คำเดียวว่า ‘โหดเหี้ยมอำมหิต’ ซ้ำยังแสดงถึงความวางอำนาจบาตรใหญ่
ฉู่สวินหยางหันไปมองรถม้าคันนั้นอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ยังไม่ทันได้พูดก็…
ห่าฝนธนูปกคลุมไปทางรถม้าอย่างมืดฟ้ามัวดิน
ชิงเถิงที่นั่งอยู่ตรงที่นั่งคนขับรถม้าตื่นตกใจจนลืมกิริยาท่าทาง สีหน้าซีดเผือด
ช่วงเวลาแห่งความเป็นความตาย ชิงหลัวที่กำลังยืนอยู่ข้างๆ ไม่ไกลก็กระโจนเข้าไปอย่างรวดเร็ว นางกระโดดจากที่สูงลงต่ำ แล้วกลิ้งไปบนพื้นสองรอบและหลบไปด้านข้าง
ถึงกระนั้นธนูดอกหนึ่งก็ถากต้นขาจนเป็นแผล
มือธนูนับร้อยยิงโดยพร้อมเพรียงกัน
ทว่าทหารองค์รักษ์ที่อยู่ข้างๆ และขันทีของวังบูรพาอีกหกคนที่อยู่ข้างๆ รถม้าคันนั้นกลับไม่ถอยไปแม้จะรู้ว่ามีภัยมาถึงตัว และหยิบดาบขึ้นมาประจันหน้าอย่างไม่กลัวตาย พยายามปัดป้องลูกธนูที่พุ่งเข้ามาอย่างคับคั่ง
แต่ก็ไม่สัมฤทธิ์ผลเพราะน้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ มือธนูไม่รีรอที่จะง้างธนูครั้งที่สอง ภายในรถม้าก็มีเสียงสตรีกรีดร้องโหยหวนน่ารันทดทิ่มแทงจิตใจชวนน่าขนลุก
“เพล้ง!” ฉู่สวินหยางหน้าเขียว ทวนยาวที่อยู่ในมือของนางตกเสียงดัง มองไปยังรถม้าคันนั้นอย่างงุนงง เหมือนนางตกใจมากเกินไปจนแน่นิ่งไป
ฉู่ฉีฮุยเห็นกับตาและเงยหน้าขึ้นยิ้มด้วยความภาคภูมิใจราวกับเป็นผู้ชนะ
แต่เพียงชั่วพริบตาก็แสร้งทำหน้าห่อเหี่ยวทันที
ในเวลานี้หยางอวิ๋นชิงผู้บัญชากองทหารองครักษ์ที่อารักษ์ขาฮ่องเต้ออกจากวังก็ขี่ม้าเร็วมาก่อนแล้ว สีหน้าเยือกเย็นพลางพูดเสียงดังฟังชัด “ใครกล้ายิงธนูในสถานที่แห่งนี้ทำให้ฮ่องเต้ทรงตกพระทัย พวกเจ้ามีกี่หัวพอให้รับผิดชอบ?”
ขณะที่พูด เบื้องหลังเขาก็มีเหล่าองครักษ์ที่ถือทวนในมือและสวมเกราะป้องกันอยู่เดินขบวนเรียงรายมาแน่นขนัด ล้อมสถานที่เกิดเรื่องทั้งหมดตรงนอกประตูเมืองนี้เอาไว้อย่างแน่นหนา
ฉู่อี้อันควบม้าออกจากในเมืองมาคุ้มกันข้างราชรถของฮ่องเต้ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ฉู่ฉีฮุยตัดสินใจพลิกตัวลงจากม้า วิ่งเต็มเหยียดไปอยู่ตรงหน้าราชรถของฮ่องเต้แล้วคุกเข่าลง น้ำเสียงดังขรึมเปี่ยมด้วยความอ่อนน้อม “ฉีฮุยขอคาระวะเสด็จปู่!”
จากนั้นหันไปแสดงความเคารพฉู่อี้อันกล่าวว่า “ลูกขอคำนับท่านพ่อ!”
สีหน้าฉู่อี้อันเมินเฉยไม่แม้จะเหลียวมองฉู่ฉีฮุยแล้วพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ยามวิกาลเช่นนี้เจ้าให้คนไปรายงานแล้วเชิญเสด็จพ่อออกมา ซ้ำยังเจาะจงให้ทหารดักซุ่มรอ นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”
“ท่านพ่อ ลูกไม่มีทางเลือก ท่านพ่อและเสด็จปู่โปรดอภัยให้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!” ฉู่ฉีเหยียนพูดขึ้นแต่สีหน้าดูปกติปนเคร่งขรึมและดูน่ายำเกรง ท่าทางอกผายไหล่ผึ่งตรงดิ่งไปยังราชรถของฮ่องเต้พลางเอ่ย “ฝ่าบาท กระหม่อมได้รับข่าวที่น่าเชื่อถือมาว่ามีคนแอบกระทำการขัดราชโองการของฝ่าบาท บุกรุกราชสำนัก อีกทั้งยังคิดร้ายฉวยโอกาสตอนที่กำลังชุลมุนส่งคนออกจากเมืองหลวงอย่างลับๆ เนื่องจากเป็นเรื่องสำคัญ กระหม่อมเกรงว่าจะแหวกหญ้าให้งูตื่น ดังนั้นกระหม่อมจึงไม่กล้าแพร่งพรายออกไป และแอบพาคนมาขัดขวางตรงนี้ ตอนนี้ก็จับได้คาหนังคาเขาพร้อมหลักฐานแน่นหนา จึงต้องรบกวนให้ฝ่าบาทเสด็จออกจากวัง และทรงไต่สวนเรื่องนี้ด้วยพ่ะย่ะค่ะ!”
จากนั้นผ้าม่านของราชรถก็ถูกเปิดขึ้น ฮ่องเต้พิงอยู่บนเตียงนุ่มด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า หลังจากฟังจบนัยน์ตาก็ฉายแววเย็นชาและมืดมน แล้วค่อยๆ เลือนหายไป
ติดตามต่อได้ที่ meenovel.com
“หือ?” ทันทีฮ่องเต้ก็เอ่ยปากขึ้นมา ดูเหมือนไม่ได้สนใจนักพลางตรัสว่า “นักโทษสถานหนักรึ?”
“พ่ะย่ะค่ะ..” ฉู่ฉีฮุยคิดว่าเวลาที่ต้องแสดงมาถึงแล้ว กระตุ้นให้เขาตื่นตัวขึ้นมาขณะที่กำลังจะอ้าปากพูด ฉู่อี้อันที่อยู่ข้างๆ ก็ขี่ม้าไปข้างหน้าแล้วเล็กน้อย ทันใดนั้นก็เห็นงฉู่สวินหยางที่ยืนอยู่ไกลๆ และเหมือนสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว
“สวินหยาง?” สายตาฉู่อี้อันฉายแววสงสัยเล็กน้อย เขาตกใจมากทันที
ฉู่ฉีฮุยยิ้มเยาะในใจ…
ฉู่สวินหยางกระทำการประมาทเลินเล่อก่อเรื่องเช่นนี้ขึ้น ครั้งนี้เกรงว่าฉู่อี้อันคงไม่อาจเข้าข้างนางอีกแล้ว เพื่อไม่ให้กระทบต่อเกียรติยศชื่อเสียงของทั้งวังบูรพา…
————————————-
